จากละครถึงชีวิตจริง | “บิ๊กเอ็ม – กฤตฤทธิ์ บุตรพรม”

จากละครถึงชีวิตจริง สิ่งที่บิ๊กเอ็มอยากส่งต่อ

“พ่อผมเขาเคยเป็นป่าไม้เหมือนกัน เป็นอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่ผมยังเด็ก วันหนึ่งพอต้องมารับหน้าที่ตรงนี้เหมือนกับพ่อ แม้จะเป็นแค่ในละคร แต่เล่นแล้วก็นึกถึงเขา นึกถึงภาพภาพนั้นที่ผมเห็นเขาถ่ายรูป ถือปืนอยู่หน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า มันก็รู้สึกดี”

ยิ่งเมื่อไปรวมกับอีกความรู้สึกส่วนตัวที่ชื่นชอบธรรมชาติเป็นอย่างยิ่งแล้ว ด้วย “พอเราได้ไปเที่ยวที่แบบนั้น รู้สึกว่ามันสงบ แล้วทำให้ตัวเราสงบด้วย เป็นเหมือนธรรมชาติบำบัด แค่เราไปฟังเสียงธรรมชาติ แค่นอนหลับตาอยู่ในป่า ฟังเสียงลม เสียงน้ำ เสียงนก เสียงจิ้งหรีด ก็ทำให้มีความสุขด้วย”

ด้วยเหตุนั้น บิ๊กเอ็ม-กฤตฤทธิ์ บุตรพรม จึงบอกว่า การได้มาเล่นละครเรื่อง “ร้อยป่า” ได้มาสวมบทบาทเป็น “เสือ กลิ่นสัก” เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่อุทิศตัวเพื่อปกป้องผืนป่า ผู้ประกาศว่าไม่เสียดายชีวิตเลย ถ้าจะต้องตายเพื่อปกป้องป่าไม้

จึงมีความรู้สึก “พิเศษ” ขึ้นในใจ

เขายังบอกด้วยว่า สิ่งหนึ่งซึ่งละครที่ออกอากาศทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เวลา 20.30 น. ทางช่อง 7 HD เรื่องนี้แทรกไว้ คือเรื่องของการอนุรักษ์ธรรมชาติ

หากกระนั้น “ไม่ได้ยัดเยียดนะครับ จะปลูกฝังแบบเนียนๆ ดูไปจะรู้สึกบันเทิง แต่ในความบันเทิงจะทำให้คนดูคิดตาม” ซึ่งโดยส่วนตัวนั้น “ผมหวังนะครับ หวังว่าคนดูแล้วจะรู้สึกรักและหวงแหนผืนป่ามากขึ้น เพราะตอนนี้วิกฤตเรื่องป่าไม้ มันเกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลก”

นอกจากการ “ได้” จากเนื้อหาของเรื่องแล้ว พระเอกหนุ่มยังว่า ตัวละครของเสือ กลิ่นสัก เองก็มีหลายอย่างให้เรียนรู้

“ที่แน่ๆ คือความเป็นฮีโร่ ความเป็นลูกผู้ชาย ความกล้าหาญ น้องๆ เยาวชนหรือผู้ใหญ่ที่ได้ดูจะรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้เท่ เป็นสุภาพบุรุษ ผู้ชายที่ดูเป็นแมนจริงๆ แฮนด์ซั่มด้วยจิตใจของเขา ไม่ใช่รูปลักษณ์หรือว่าหน้าตา มันทำให้เขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก ผู้ชายที่ผู้ชายทุกคนอยากจะเป็น”

“เป็นคนที่ทำเพื่อสังคม เพื่อผู้อื่น”

เป็นคนแสนดี ที่ตัวเขาเองเชื่อว่าในโลกปัจจุบัน-ไม่ใช่แค่ในละครหรือนิยาย ก็ยังคงมีคนประเภทนี้

“ซึ่งถ้ารำได้เจอ ต้องสนับสนุนครับ”

“แล้วอยากให้มีคนแบบนี้อีกเยอะๆ เลย”

สําหรับตัวเขาเอง แม้จะยังไม่สามารถระบุได้ว่าใครคือเสือ กลิ่นสักในโลกปัจจุบัน แต่กระนั้นในความรู้สึกของเขา เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกคนก็มีความอดทนและเสียสละเพื่อปกป้องผืนป่าของเรา ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากจะร่วมด้วยช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงช่วยเหลือสัตว์ป่าที่บาดเจ็บด้วยการจัดทำโฟโต้บุ๊ก ใช้ตัวเองเป็นแบบ ถ่ายภาพในคอนเซ็ปต์ผู้ชายกับการอนุรักษ์ธรรมชาติออกจำหน่าย เพื่อหารายได้มอบให้

“เพราะสิ่งที่เขาทำมันยิ่งใหญ่มาก”

สำหรับตัวเอง บิ๊กเอ็มบอกว่าละครเรื่องนี้ก็มีส่วนที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป

“ที่แน่นอนคือ ยิ่งทำให้ผมรักธรรมชาติมากยิ่งขึ้น”

“มีฉากหนึ่งที่เป็นการตัดต้นไม้ คือต้องบอกก่อนว่า ต้นไม้ที่เราไปถ่าย คือต้นที่ยืนต้นตาย และเขาจะตัดอยู่แล้วนะครับ ได้รับอนุญาตทุกอย่างจากกรมป่าไม้ พอตัดปุ๊บ ผมก็ถามว่าต้นนี้อายุเท่าไหร่ เขาบอกเกือบร้อยปี คือเขาอยู่มาตั้งแต่ก่อนเราจะเกิดอีก แล้วเราใช้เวลาตัดไม่ถึง 1 นาที ตัดทิ้งไปเหมือนตัดผม แล้วต้นไม้ก็หายไป”

“ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึก แล้วก็อยากอนุรักษ์ไว้ให้มากที่สุด”

ด้วยเหตุนี้กิจกรรมกับแฟนคลับที่จัดในช่วงวันเกิดของเขาเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ปกติจะเป็นการทำบุญเลี้ยงพระ จึงเปลี่ยนเป็นชวนกันไปปลูกป่า ซึ่งหลังจากครั้งแรกผ่านไป ทุกคนก็แฮปปี้ จนคิดๆ อยู่ว่าอาจจะจัดอย่างนี้ทุกๆ ปี “แล้วพอปีต่อๆ ไปต้นไม้โตขึ้น เราจะรู้สึกภูมิใจมาก ที่ต้นไม้ให้ประโยชน์แก่คนในพื้นที่และคนอื่นๆ”

“ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องที่ดี”

ตอนนี้และอนาคต

“เมื่อก่อนผมเป็นนายแบบและไม่ได้สนใจการแสดงเลย เป็นคนขี้อายแล้วไม่ชอบออกหน้ากล้อง การเดินแบบ เป็นนายแบบ เราก็แค่เดิน ไม่ต้องแสดงอะไรมากมาย หน้าก็บึ้งๆ อะไรอย่างนี้ แต่พอมาแสดงละครปุ๊บ มันอยู่หน้ากล้อง เราต้องแสดงต่อคนเป็นสิบที่อยู่หน้าเรา ชีวิตก็เปลี่ยนเลย”

“แต่มันก็ทำให้ผมมีความสุขมาก”

“จากขี้อาย พอมาเป็นแบบนี้ปั๊บ ทำให้เราเป็นคนกล้าแสดงออก อะไรที่กลัว เราก็เอาชนะมันได้ อะไรที่ไม่เคยทำ ก็ทำได้”

“การแสดงเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่จะต้องรอบรู้ทุกด้าน ขับรถได้ ขี่ม้า และอื่นๆ เพราะเราต้องเรียนรู้เพื่อเป็นตัวละครตัวนั้น ซึ่งพอบทบาทที่เราได้รับเปลี่ยนไป ก็เหมือนเราได้การบ้านใหม่ ได้โจทย์ใหม่ การเป็นนักแสดงจึงเหมือนเราต้องเรียนรู้ไม่จบไม่สิ้น”

“ทำให้เราเป็นคนที่เก่งและมากความสามารถจากการเป็นนักแสดง”

ถึงตอนนี้บิ๊กเอ็มบอกว่า เขายังไม่มีเป้าหมายจะทำอะไรอื่น นอกจากทำหน้าที่นักแสดงให้ดีที่สุด อย่างไรก็ดี คิดๆ ไว้ว่า “วันหนึ่งถ้าอิ่มตัว ผมก็อยากมีร้านคาเฟ่ที่มีอาหารฟิวชั่น มีมุมให้คนถ่ายรูป เพราะผมเป็นคนชอบถ่ายรูป ผมอยากให้คนที่เข้ามาในร้านผมได้ทั้งอิ่มท้อง แล้วได้ภาพสวยๆ กลับไปด้วย กินข้าวไป ถ่ายรูปไป ถ่ายมุมไหนก็สวย ผมชอบแบบนั้น”

แต่คาเฟ่ที่ว่านั่น ถ้าจะมีจริง “คงอีกสักพักใหญ่ๆ เลยครับ” บิ๊กเอ็มในวัย 34 ปีบอก

เพราะ “ผมเคยแอบไปดูดวง เขาบอกว่าวันหนึ่งผมจะได้มาทำเบื้องหลัง ช่วงที่ผมอายุ 40 กว่า เหมือนเป็นผู้จัด ผู้กำกับฯ ซึ่งก็น่าสนใจดี”

“ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสก็อยากทำเหมือนกัน”

รอกันอีกนิดเนอะ