อ่านทัศนะคนหนุ่ม-สาว ในสายธารการเคลื่อนไหว ต้านรัฐบาลประยุทธ์

ถือเป็นปรากฏการณ์การเมืองไทยในรอบหลายทศวรรษ เมื่อแสงเทียนและไฟฉายจากสมาร์ตโฟนได้ส่องสว่างในมือคนหนุ่ม-สาวจำนวนมากจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงเทพฯสู่เมืองใหญ่ระดับภูมิภาค ขยายตัวไปจนถึงรั้วโรงเรียนมัธยมที่เริ่มเคลื่อนไหว

เป็นสัญญาณบางอย่างที่มีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะห้วงวิกฤตการเมืองกว่าทศวรรษ ซึ่งคนหนุ่ม-สาวมีชีวิตและเติบโตผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองมากมาย

การก่อตัวและกระจายไปราวไฟลามทุ่งนี้ เกิดขึ้นภายหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ได้ตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่และปิดฉากบทบาทของนักการเมืองดาวรุ่งที่เป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่จำนวนมาก

แต่การเคลื่อนไหวเหล่านี้ เสียงของพวกเขาไม่ได้พูดถึงพรรคอนาคตใหม่ แต่กลับพูดถึง “อนาคตของพวกเขาเอง”

อะไรที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจในที่สุดแล้วว่า พวกเขาไม่นิ่งเฉยได้อีกต่อไปแล้ว

 

ทันทีที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยจากห้องพิจารณาในช่วงบ่ายของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ กระแสสังคมกลับสะท้อนตรงกันข้ามและเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา

ในช่วงค่ำวันเดียวกัน นักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ได้จุดเทียนไว้อาลัยต่อความยุติธรรมที่ด้านหน้าอาคารอุทยานป๋วย 100 ปี ซึ่งเป็นที่ตั้งรูปปั้นอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ และอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ นั่งบนม้านั่ง

ไม่เพียงแสงเทียนที่สว่างในทุ่งรังสิตเท่านั้น ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามก็จุดเทียนไว้อาลัยด้วยเช่นกัน

นั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้น นำไปสู่การรวมตัวบริเวณลานปรีดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันถัดมา และลุกลามขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยรามคำแหง สถาบันเทคโนโลยีอีกหลายแห่งและมหาวิทยาลัยราชภัฏในหลายจังหวัด หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยเอกชนอย่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ หรือมหาวิทยาลัยรังสิต

นอกจากการลุกฮือในระดับการอุดมศึกษา ความเคลื่อนไหวยังได้เกิดขึ้นในระดับโรงเรียนมัธยมอย่างสตรีวิทยา เตรียมอุดมศึกษา และอีกหลายโรงเรียนที่มีทั้งสำเร็จบ้าง หรือเลื่อนออกไป แต่ต้องมีขึ้นแน่

การเคลื่อนไหวนี้ถูกแสดงออกผ่านข้อความต่างๆ บนกระดาษหรือผ้าใบ การปรากฏตัวของผู้ร่วมชุมนุมหน้าใหม่จำนวนมาก และกระแสบนโลกออนไลน์ ผ่านแฮชแท็กชวนขบขันที่สะท้อนอัตลักษณ์ของแต่ละแห่งออกมา

สิ่งที่พวกเขาต้องการเหมือนกันคือ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดำรงอยู่นานกว่า 6 ปีต้องสิ้นสุด ไม่เช่นนั้นอนาคตของพวกเขาอาจต้องสูญสิ้นแทน

 

นักเรียนชายระดับมัธยมปลายของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรีที่ชื่นชอบการทำทีมล้อ กล่าวว่า เริ่มมีความคิดลักษณะนี้มาตั้งแต่ ม.3 ตอนนี้ก็เรียนอยู่ ม.5 ต้องบอกก่อนว่า ไม่ได้อะไรกับการเมือง แต่มาตัดสินใจได้ตอนที่เขาจะตัดสินคดีพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ในเวลานั้นกำลังศึกษาเรื่องกฎหมายการเงินอยู่และสนใจกฎหมาย แต่ไม่ได้อยากเรียนด้านนิติศาสตร์ รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และเริ่มออกมาเคลื่อนไหว เพื่อทำให้ประเทศดีขึ้น

“ผมก็เข้าใจนะ ที่ว่าผู้ใหญ่ทำไมไม่เข้าใจว่า ที่นักเรียนออกมากันขนาดนี้ ถูกปลุกปั่นหรือเปล่า ต้องตอบว่าไม่เลย นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวก่อนเกิดเรื่องกับพรรคอนาคตใหม่มานานแล้ว แต่พอมีคนนำ ก็รู้สึกโอเค เพราะสิ่งที่ผมคิด ก็มีหลายคนคิดเหมือนกัน เราต้องการให้สถาบันทางการเมืองดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่เพราะแค่ว่าคุณมีอำนาจ แล้วมาทำผิดกฎหมาย คนมีอำนาจ ควรมีอำนาจตามกรอบกฎหมาย ไม่ใช่มีอำนาจล้นเกินกฎหมายแล้วไปบั่นทอนคนอื่นเกินไป”

นักเรียน ม.5 กล่าวถึงทัศนะส่วนตัวจนนำไปสู่การเคลื่อนไหว

 

การเคลื่อนไหวของคนหนุ่ม-สาววัยเรียน ยังเกิดขึ้นในอีกหลายมหาวิทยาลัย อย่างมหาวิทยาลัยนเรศวร ภายใต้แฮชแท็ก #เสลาออกจากกะลาพร้อมปิดฉากอำนาจนิยม หรือก่อนหน้านี้อย่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน พร้อมติดแฮชแท็ก #คืนสู่เหย้าไม่เอาไอโอ(ชา) โดยครั้งนี้นอกจากนักศึกษาของสถาบันแห่งนี้แล้ว ยังมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ นักเรียนมัธยม จนถึงศิษย์เก่าและประชาชนออกมาร่วมแสดงพลังจนแน่นหน้าหอประชุมใหญ่

ในจำนวนนี้มีกลุ่มนักเรียนชายจากรั้วโรงเรียนสาธิตเกษตรศาสตร์ที่อยู่ระหว่างเตรียมสอบโอเน็ตก็มาร่วมชุมนุมด้วย โดยหนึ่งในนักเรียนกลุ่มนี้กล่าวว่า สนใจการเมืองมานานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ร่วมชุมนุมเพราะไม่มีใครเริ่มซะที นอกจากตัวเองแล้ว เพื่อนร่วมชั้นก็สนใจ แต่เพียงแค่ไม่กล้าแสดงตัวให้เห็น บางคนคิดว่าการเมืองไม่ได้มีส่วนในชีวิตประจำวัน ทั้งที่ความจริงนั้นมีส่วนกับทุกเรื่อง หรือบางคนมองว่า ออกไปร่วมแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้และจะยังคงเหมือนเดิมเลยไม่กล้าออกมา

นักเรียนอีกคนในกลุ่มกล่าวว่า สนใจตั้งแต่ตอนประยุทธ์ชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ซึ่งเกิดอะไรหลายอย่างที่ทำให้เราเห็นความจริงว่า ทนไม่ไหวแล้วสำหรับประชาชนไทยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม

นักเรียนในกลุ่มเสนอแนะว่า ควรมีการตื่นรู้มากกว่านี้ สำหรับคนที่รัก พล.อ.ประยุทธ์อยู่ ควรตระหนักได้แล้วว่า ถ้ายังรักต่อไป ประเทศชาติจะเกิดอะไรขึ้น

“ผมคิดว่าเรายังต้องการเสียงที่เพิ่มมากกว่านี้ เพื่อที่จะทำให้รัฐบาลได้เห็นพลังของเรา” นักเรียนในกลุ่มกล่าว และว่า

ขอเพียงไม่มีรัฐประหารอีก และทหารไม่มายุ่งการเมือง ไม่มีคนเบื้องหลังบงการทหาร แค่นี้ก็พอใจแล้ว

นอกจากนี้ “เมย์” ซึ่งปัจจุบันทำงานบริษัทเอกชนและเป็นศิษย์เก่ารั้วเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ช่วงนี้ลำบาก เพราะเศรษฐกิจแย่ ทำให้โบนัสที่ควรจะได้กลับไม่ได้

“ที่จริงแล้ว ถ้าพูดถึงการงานหรือชีวิตของหนูนั้นดีอยู่แล้ว แต่สังคมตอนนี้กลับไม่โอเคต่ออนาคตของคนรุ่นน้องหรือหลาน หรือทุกคนที่จะใช้ชีวิตในอนาคต ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ประเทศกำลังจะพัง กำลังจะแย่ ทนต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องออกมาแสดงพลัง” เมย์กล่าวถึงสาเหตุที่ออกมาร่วมชุมนุม และว่า แม้ไม่ได้ช่วยแจกน้ำหรือช่วยรุ่นน้องคิดคำที่จะพูด แต่ตัวเองมาเพื่อแสดงพลังว่ามีคนไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เห็นด้วยกับน้องๆ นักศึกษาที่จะเอาประชาธิปไตยกลับมา เพียงแค่แสดงตัวว่า มีคนเหล่านี้อยู่ ยังมีเราอยู่ที่เห็นด้วย ที่จะออกมาสู้เพื่อสิทธิของเรา

เมย์มองการเคลื่อนไหวของนักศึกษามหาวิทยาลัยและรุ่นน้องของสถาบันนี้ว่า เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมที่พวกเขาออกมาเพื่อเรียกร้องสิทธิของตัวเอง เพราะว่าที่จริงแล้วประเทศนี้เป็นของเราทุกคน เป็นของน้องๆ อนาคตก็เป็นของน้องๆ

การที่มีความกล้าและออกมาแสดงพลัง ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว