บทวิเคราะห์ | เคลื่อนไล่แป๊ะ เขย่า ผบ.ตร. “กึ่งทศวรรษ” พิสูจน์เก้าอี้นี้มีอาถรรพ์?

“ยืนยันเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการชิงตำแหน่ง หรือกลับไปดำรงตำแหน่งตำรวจด้วยวิธีการแบบนี้ แม้จะอยากกลับ เพราะผมเป็นตำรวจอาชีพ กลับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอทำหน้าที่ข้าราชการให้ดีที่สุด”

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) กล่าวปฏิเสธผลพวงจากเหตุการณ์ถูกคนร้ายยิงใส่รถยนต์ ขณะจอดอยู่ในซอยย่านบางรัก กทม. เมื่อค่ำวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา

จากนั้นเพียงข้ามวัน ข่าวยิงรถบิ๊กโจ๊ก ซึ่งเจ้าตัวเชื่อว่าเป็นการลงมือเพื่อมุ่งหมายเอาชีวิต มากกว่าเป็นแค่การยิงข่มขู่ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานเบื้องต้น

ก็ยกระดับแรงสั่นสะเทือนกลายเป็นข่าวเขย่าวงการสีกากี เมื่อมีการจงใจพาดพิงถึงชื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนปัจจุบัน ซึ่งขณะเกิดเหตุอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ

“สำหรับบุคคลต้องสงสัยนั้น ผมพอมีข้อมูลแต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นใคร หากไม่ใช่คนมีอำนาจก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ ถ้าผมเป็น ผบ.ตร.และจับคนร้ายไม่ได้ ก็ต้องออกมารับผิดชอบ”

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ให้สัมภาษณ์หลังเข้าให้ปากคำต่อ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุคุณ พรหมายน รอง ผบช.น. และ พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก.สน.บางรัก เจ้าของท้องที่เกิดเหตุ ที่ร่วมสอบปากคำคดี เมื่อวันที่ 8 มกราคม

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ยังกล่าวยืนยันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นการสร้างภาพ สร้างสถานการณ์ เพราะไม่มีมูลเหตุจูงใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร เมื่อ 2 ปีก่อนมีเหตุคนร้ายยิงรถนักข่าว จนขณะนี้ยังจับไม่ได้ ทำให้เชื่อว่าเป็นแผนประทุษกรรมเดียวกัน “คนวงใน” ก็ต้องรู้ว่าใครยิง

จากนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับ “ไบโอเมตริกซ์” ก็พรั่งพรู

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อ้างว่ากรณี “ไบโอเมตริกซ์” คือสาเหตุหลักของความขัดแย้งกับผู้มีอำนาจสีกากีบางคน จนเมื่อตนเองถูกย้ายไปประจำอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี ก็ถูกตามข่มขู่ปองร้ายเรื่อยมา กระทั่งมาเกิดเหตุการณ์ถูกยิงรถ

เนื่องจากเมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่ง ผบช.สตม. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เซ็นหนังสือ 2 ฉบับถึง ผบ.ตร. ให้ยกเลิกโครงการไบโอเมตริกซ์ หรือเครื่องพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลของสำนักงานตำรวจคนเข้าเมือง (สตม.) วงเงิน 2,100 ล้านบาท

ต่อมามีผู้นำเรื่องนี้มาขยายผลเข้ายื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบโครงการจัดซื้อเครื่องไบโอเมตริกซ์ รวมถึงการจัดซื้อรถตรวจการไฟฟ้า 260 คัน วงเงิน 900 ล้านบาท

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์ถูกยิงรถเมื่อวันที่ 6 มกราคม เกิดขึ้นในช่วงที่ ป.ป.ช.เตรียมเรียกตนเองไปให้ข้อมูลในประเด็นทุจริตและความไม่คุ้มค่าของโครงการดังกล่าว ในฐานะผู้เซ็นเลิกสัญญาเมื่อครั้งเป็น ผบช.สตม.

“ยืนยันว่าการออกมาครั้งนี้ไม่ได้ท้าชนใคร เพราะต้องการให้ความจริงปรากฏ เนื่องจากโครงการไบโอเมตริกซ์เป็นสมบัติชาติ มีมูลค่าถึง 2,000 ล้านบาท” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าวถึงการเข้าให้ข้อมูลต่อ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 10 มกราคม

ย้ำว่าสาเหตุโดนยิงรถน่าจะเกิดจากเรื่องดังกล่าว

คดียิงรถ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล น่าสนใจมากขึ้น

เมื่อมีการปล่อย “คลิปเสียง” สนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง 2 นายตำรวจใหญ่ ลักษณะคล้ายเสียง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พูดคุยกับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. เกี่ยวกับคดีดังกล่าว

เนื้อหาในคลิปเสียงมีการพูดถึงการ “รับลูก” เหตุการณ์ยิงรถบิ๊กโจ๊ก การ “เตี๊ยม” กันออกมาให้ข่าวระหว่าง “พลตำรวจเอก” กับ “พลตำรวจโท” การ “หลอกใช้” นายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร. 5 นายเป็นเครื่องมือ เป็นต้น

ต่อมามีการยอมรับเป็นเสียงพูดคุยของบุคคลทั้งสองจริง

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวว่า วันที่มีการคุยโทรศัพท์ตนเองนั่งอยู่ข้าง ผบ.ตร. สีหน้าอารมณ์ของ ผบ.ตร.ค่อนข้างปกติ ฟังจากน้ำเสียงก็เป็นการพูดกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของระดับ ตร. ไม่ได้พูดในลักษณะใช้อารมณ์ หรือใช้คำพูดไม่สุภาพ

“อยากทราบเหมือนกันใครเป็นคนทำ ใครเป็นคนอัด ใครเป็นคนปล่อย เพราะนั่งอยู่กันไม่กี่คน ผบ.ตร.ก็ไม่ทราบว่าเสียงจะถูกนำมาปล่อย เพราะโดยปกติคุยกันคงไม่มีการอัดเสียง ขนาดโทร.ไปคอลเซ็นเตอร์ เขาจะอัดเสียงสนทนายังมีมารยาท ขออนุญาตเพื่อนำไปปรับปรุงการให้บริการ”

ทั้งนี้ มีการอ้างคำให้สัมภาษณ์ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ว่า ได้มีการพูดคุยเรื่องคดีบิ๊กโจ๊กกับ พล.ต.อ.วิระชัยจริง แต่ไม่ได้เป็นการสั่งให้หยุดทำงาน เพียงแต่บอกว่าการสั่งการให้เป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และตำรวจที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่ตามขั้นตอน

พร้อมยืนยันไม่ได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในคดีนี้ อย่างที่มีการพาดพิง เพราะทำไปก็ไม่ได้ประโยชน์ พร้อมตั้งข้อสังเกต “ใครกันแน่ที่ได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ ทำให้กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง”

ขณะที่ พล.ต.อ.วิระชัย รอง ผบ.ตร.ยอมรับว่า ได้โทรศัพท์รายงานผลการทำงานในคดีบิ๊กโจ๊กกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร.จริง

ส่วนการสนทนาจะถูก “ดักฟัง” หรือไม่ มีความเป็นไปได้ เพราะในปัจจุบันเป็นเรื่องทำได้ง่าย

ถึงมีความพยายามเขย่าซ้ำเก้าอี้ ผบ.ตร.ในกรณี พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รอง ผบก.อก.ภ.9 ออกมายื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ใช้อำนาจแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ทั้งอ้างว่าถูกนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.บางคนจ้องเล่นงาน

ก่อนที่ทั้ง พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. จะออกมาให้สัมภาษณ์ชี้แจงข้อมูลสวนกลับว่า พ.ต.อ.คนดังกล่าวเคยมีเรื่องถูกร้องเรียนจำนวนมาก มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายเรื่อง

แต่เมื่อเกิดคดีปล้นทองและมีคนตาย 3 คน จ.ลพบุรี สังคมและสื่อมวลชนก็ให้ความสนใจคดีบิ๊กโจ๊กน้อยลง ขณะเดียวกันก็ขับเน้นบทบาทอันโดดเด่นของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ หลังนำทีมรอง ผบ.ตร.ลงพื้นที่ ประชุมติดตามความคืบหน้าคดีแบบเกาะติดรายวัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงและผู้ใหญ่คนสนิทก็ดูเหมือนอึดอัดใจพอสมควรกับปัญหาขัดแย้งระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์

ถึงกระนั้น ทั้ง “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ได้ปฏิเสธเป็น “กาวใจ” ให้คนทั้งคู่

“เป็นปัญหาที่เขาจัดการกันเองได้” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตรที่กล่าวว่า “เรื่องนี้คงไม่ต้องถึงมือผม เป็นเรื่องของพี่น้องกัน ให้เขาสองคนไปว่ากันเอง” สรุปก็คือลอยตัว ไม่ขอยุ่งด้วย

ปีใหม่ที่ผ่านมา สื่อมวลชนตั้งฉายา พล.ต.อ.จักรทิพย์ “พิทักษ์ 1 กึ่งทศวรรษ”

ความหมายคือ ปี 2563 เป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ในตำแหน่ง ผบ.ตร. เรียกได้ว่าสร้างประวัติศาสตร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในวงการสีกากี โดยปกติเก้าอี้ผู้นำตำรวจนั้นจะอยู่ครบวาระหรืออยู่ยาวนาน เป็นเรื่องยากมาก

แต่ความสามารถที่ทำให้ผ่านฉลุยมาแล้ว 4 ปี เข้าสู่ปีที่ 5 ถือว่าไม่ธรรมดา

เปรียบเป็นมวยก็เข้าสู่ยกสุดท้าย มีทั้งถีบ ถอย ปล่อยหมัด เดินหน้าตีเข่าเขย่าศอกเต็มรูปแบบ

แต่แล้วผ่านปีใหม่มาเพียงไม่กี่วัน ฉายา ผบ.ตร. “กึ่งทศวรรษ” ก็ถูกท้าทายอย่างหนักจากฝ่ายตรงข้ามอย่างในกรณีล่าสุด

จนต้องลุ้นระทึก ระยะเวลาที่เหลืออยู่ 9 เดือนนับจากนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์จะทำสถิติรักษาฉายานี้ไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง

หรือจะซ้ำรอยอาถรรพ์ ผบ.ตร.ส่วนใหญ่ในอดีต