กาละแมร์ พัชรศรี : กลับจากอินเดียด้วยจิตสำนึก

กลับมาจากการไปภาวนาที่อินเดียแล้วค่ะ

การไปอินเดียของฉันเหมือนการกลับบ้านค่ะ รู้สึกรักและผูกพันอย่างบอกไม่ถูก ที่สำคัญคืออบอุ่นใจเมื่อเท้าได้เหยียบย่างบนผืนแผ่นดินที่นั่น

แม้ว่าสภาพบ้านเรือน สิ่งแวดล้อมจะไม่ได้ศิวิไลซ์ แถมยังมีขยะและความสกปรกอยู่รายรอบ แต่ฉันรู้สึกว่าในทุกๆ ย่างก้าวที่เท้าเราเหยียบพื้น พระพุทธเจ้าเคยผ่านมาแล้วทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้ การเดินทางไปอินเดียทุกครั้ง ฉันจึงเหมือนได้กลับบ้าน…

นอกจากที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา และบนเขาคิชฌกูฏที่เมืองราชคฤห์ที่เราไปภาวนากันบ่อยครั้งแล้ว ครั้งนี้เรายังได้ขึ้นเขาไปที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา และไปบ้านนางสุชาดาในบริเวณที่นางถวายข้าวมธุปายาสแด่องค์พระพุทธเจ้าด้วย

การเดินทางไปภาวนาคือไปภาวนากันทั้งวันจริงๆ เช้า บ่าย เย็น ค่ำ ภาวนาแล้วกินข้าว แล้วก็ภาวนากันต่อ ทำวนไปอย่างนี้ตลอด 6 วัน

แต่ไม่มีวันไหนที่เบื่อหรือไม่อยากไปเลย มีแต่ไม่อยากกลับด้วยซ้ำ

หน้าที่ของผู้ภาวนาอย่างฉันคือ ตั้งใจทำสิ่งตรงหน้าให้ดีที่สุด ไม่สนใจในเรื่องอดีตที่ผ่านมา ไม่กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อไปเหมือนในชีวิตประจำวัน ที่มักคิดอยู่เสมอว่า เสร็จอันนี้แล้วจะไปทำอะไรต่อ เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง จนไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ เวลานี้ และลมหายใจตัวเอง

เมื่อมาภาวนาเราจึงต้องทำหน้าที่ตรงหน้าให้ดีที่สุด เรียนรู้ว่าไม่มีอะไรแน่นอนและไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นของเรา ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเรา เวลานั่งสมาธิ ปวดขา เจ็บขา ยังไม่สามารถบังคับให้มันหายได้ดั่งใจได้เลย ทั้งๆ ที่เราคิดว่ามันเป็นขาของเรา แต่ดูสิ เรายังบังคับไม่ให้มันไม่ปวด ไม่เจ็บได้เลย มันเป็นของเราที่ไหน นับประสาอะไรกับคน และสิ่งรอบตัว ไม่มีอะไรเป็นของเรา

แม้แต่ตัวเรา!

เพิ่งเข้าใจก็คราวนี้ และที่ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นก็คือ อะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวมันก็ดับไป

เคยได้ยินประโยคนี้บ่อยมาก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

แต่ไม่เคยเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง

จนได้มาอยู่กับตัวเอง เวลาความคิดเรื่องนี้เกิด พอเรารู้ทันมัน มันก็หายไป เวลาความเจ็บปวดเกิด พอเราเห็นมัน มันก็หายไป พอความสบายเกิด อยากให้มันอยู่นานๆ มันก็ไม่นาน มันก็หายไป มีความรู้สึกใหม่มาแทนที่ ไม่มีอะไรที่ยึดไว้ได้นานเลย ดังนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะยึดอะไรเป็นของเรา แม้แต่ความคิดเรายังยึดไม่ได้เลย

การไปอินเดียครั้งนี้นอกจากฉันจะเดินทางเข้าไปในตัวเองแล้ว ยังเดินทางขึ้นเขาไปที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ซึ่งเป็นสถานที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก โดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน พร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 รูป

การเดินขึ้นเขาครั้งนี้ยากลำบากกว่าการเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏ

ในแต่ละย่างก้าวยิ่งที่ให้เราสำนึกในความวิริยะอุตสาหะของเหล่าพระอรหันต์ทุกรูปที่พระองค์ได้เดินขึ้นลงเขานี้ทุกวัน เพื่อไปรับบาตรระหว่างการทำสังคายนาถึง 7 เดือน

พวกเราได้นั่งฟังพุทธประวัติจากครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง เรื่องการทำสังคายนาครั้งนั้นด้วยความซาบซึ้งอย่างสุดหัวใจ

ครูเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เหล่าพระภิกษุสงฆ์ก็เสียใจเป็นอย่างมาก แม้รู้ถึงความเกิดดับมาเป็นของธรรมดาแล้ว แต่ก็อดเสียใจไม่ได้

จนผ่านมา 7 วัน มีภิกษุรูปหนึ่งเห็นพระเสียใจกันก็พูดขึ้นมา จะเสียใจไปทำไมกัน ดีเสียอีกที่ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะได้ทำอะไรตามใจ ไม่ต้องฟังใครหรืออยู่ภายใต้การควบคุมของใครอีก

พระมหากัสสปะได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า ปล่อยไว้อย่างนี้คงไม่ดีเป็นแน่แท้ นี่ขนาดพระพุทธเจ้าเพิ่งจากไปแค่ 7 วัน ยังมีความแตกแยกขนาดนี้ จึงตัดสินใจทำสังคายนาพระไตรปิฎก เพื่อรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดที่พระองค์ตรัสไว้ทุกประการ เพื่อเป็นตัวแทนของพระองค์สืบต่อไป

เราลองคิดดูว่า ถึงแม้จะเสียใจในการจากไปของพระพุทธองค์แค่ไหน ก็ต้องเก็บความเสียใจนั้นไว้เพื่อทำหน้าที่ตรงหน้าให้ดีที่สุดนานถึง 7 เดือน กว่าที่พระมหากัสสปะจะเดินทางไปรับพระศพของพระพุทธเจ้าได้

ในความตรากตรำนั้น พระอรหันต์ทั้งหมดนั้นทำเพื่อใคร ถ้าไม่ใช่เพื่อชาวพุทธทุกคน เสียสละตัวเองเพื่อใครที่ไม่รู้จัก เพื่อให้เราได้รู้ทางดับทุกข์ รู้หนทางรอดในชีวิต เพื่อไม่ให้คำสอนของพระพุทธองค์สูญสลายไป
พวกเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นพุทธศาสนิกชนและมีผู้เสียสละให้เราขนาดนี้

เรื่องนี้ทำให้ฉันคิดได้ว่า เราจะไม่ทำให้ท่านทั้งหลายเสียแรงเปล่า

เราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง

เราจะตอบแทนบุญคุณที่ทุกท่านยอมเสียสละทำให้เรา ด้วยการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ทำทาน รักษาศีล และหมั่นเจริญภาวนา และช่วยเผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์ต่อไป

ในวันที่เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ได้เรียนรู้พุทธประวัติ มันทำให้เราซาบซึ้งในสิ่งที่บรรพบุรุษได้ทำสิ่งดีๆ ไว้ให้พวกเรามหาศาลประมาณค่าไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีพวกท่านเหล่านั้นเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไรก็มิอาจรู้ได้

สิ่งเหล่านี้มันจะเข้าไปในจิตสำนึกของเรา ทำให้เราคิดจะทำแต่สิ่งดี ละเว้นสิ่งชั่ว ละอายต่อบาป

และคิดจะตอบแทนคืนสู่แผ่นดินเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังเหมือนที่ท่านทั้งหลายได้ทำกันสืบมา…