ฐากูร บุนปาน | “งูเห่า” อยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย (อยู่ใต้ท็อปบู๊ต) ?

ถึงจะเลยมาเป็นสัปดาห์

แต่ปัญหาที่เป็นเรื่องของ “หลักการ” หรือการ “คว่ำหลักการ” นั้นไม่มีวันเชย

เพราะปรากฏการณ์ “งูเห่า” ในกรณีฝ่ายค้านยื่นเสนอให้ตั้งกรรมาธิการศึกษาผลการใช้มาตรา 44 เป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำว่า

เพื่อการดำรงอยู่ในอำนาจต่อไป (แบบสบายใจตัวเอง คนอื่นจะคิดอย่างไรช่างมัน)

ผู้มีอำนาจพร้อมที่จะใช้อำนาจนั้นอย่างเต็มไม้เต็มมือ

โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักจริยธรรม คุณธรรม หรือหลักกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น

ใครที่มีสติสัมปชัญญะปกติจะเชื่อบ้างว่า

ส.ส.งูเห่านั้นเกิดขึ้นมาด้วยความสุจริตใจ

อยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย (อยู่ใต้ท็อปบู๊ต)

อยากจะให้สภาเป็นเวทีในการตกลง-จัดการกับปัญหาต่างๆ (อย่างที่ฝ่ายรัฐบาลท่านออกมาช่วยรับรองให้-ซึ่งยิ่งทำให้ดูแย่ขึ้นไปอีก)

หรือด้วยเหตุผลสวยหรูอื่นๆ

จริงหรือว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีผลประโยชน์ (ไม่ว่าในรูปตัวเงินหรืออื่นๆ) มาเกี่ยวข้อง

ในเมื่อฝ่ายรัฐบาลยังหลุดปากออกมาเป็นครั้งคราวตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่า ไม่กังวลเรื่องเสียงปริ่มน้ำในสภา

เพราะว่าเลี้ยงงูเห่าเอาไว้เป็นฝูง

มีการพูดกันทีเล่นทีจริงถึงขนาดว่า เลี้ยงไว้มากพอแล้ว จนกระทั่งต้องปฏิเสธ ส.ส.ฝ่ายค้านที่อยากจะแปลงร่างเป็นงูเห่าในกลุ่มหลังๆ

เพราะ-จ่ายไม่ไหวแล้ว!!

การทำให้ผิดเป็นถูกของฝ่ายผู้มีอำนาจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก

แต่เริ่มมาตั้งแต่การจัดตั้งพรรค ที่รวบรวม ส.ส.เก่าเข้ามา โดยใช้ผลประโยชน์ล่อบ้าง หรือใช้ข้อกฎหมายในเรื่องคดีเข้ามาบีบบ้าง

จากนั้นก็ร่างกติกาเลือกตั้งพิลึกพิลั่น ที่ทำให้เกิดสารพัดปัญหาตามมา

ตั้งแต่การไม่ให้ความสำคัญกับพรรค (350 เขต 350 เบอร์)

ขีดเขตแบบพิสดาร

ไปจนถึงการคำนวณ ส.ส.ด้วยหลักคณิตศาสตร์ที่ไม่มีใครในโลกเขาทำกัน

จนได้ “ส.ส.เศษคน” เข้ามาตามจำนวนที่หวัง

ไปจนถึงการ “อุ้ม” พวกพ้องแบบออกหน้าออกตา ไม่ต้องคำนึงถึงตัวบทกฎหมาย

เข้าสภามาแล้ว ก็ยังมีปรากฏการณ์พิสดารแบบแพ้ไม่ได้ กติกาเขียนไว้อย่าง แต่ทำอีกอย่าง

จนกระทั่งถึงกรณีงูเห่า

ฯลฯ

ถามว่าพฤติกรรมเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างหรือช่วยทำลายประชาธิปไตย

แต่ที่เลวร้ายไม่แพ้กันกับการทำผิดให้เป็นถูก

ก็คือการยืนกรานว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้นถูกต้อง ดีงาม และเหมาะสมแล้ว

นี่ไม่ผิดอะไรกับการปกปิดอาชญากรรม

ที่เลวร้ายพอกันกับการลงมือกระทำอาชญากรรม

ทำผิดแล้วยังลอยหน้าลอยนวลได้ โดยที่ไม่รู้ว่าในใจเชื่ออย่างนั้นจริงๆ หรือต้องปั้นหน้ากากสร้างฉากเข้าไว้ เพื่อจะหยิบฉวยอำนาจและผลประโยชน์ต่อไปให้ได้นานที่สุด

ซึ่งก็แย่พอกันทั้งคู่

เพราะทำให้มาตรฐานบิดเบี้ยวเท่านั้นไม่พอ

ยังยกย่องให้คุณค่าการกระทำ (ที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น) อย่างนั้นว่าเป็นเรื่องถูกต้องดีงาม

ทำให้เกิดค่านิยมผิดๆ ขึ้นในสังคม

ว่าถ้ามีอำนาจ (และหน้าทนพอ)

ก็ทำอะได้ทั้งนั้น

ทั้งหมดนี้นอกจากเรื่องอำนาจและผลประโยชน์เป็นแกนหลักแล้ว

ยังประกบประกอบเข้ากับจุดยืน”แพ้ไม่ได้ แพ้ไม่เป็น”ของบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายอีกด้วย

ลงมติแล้วแพ้ แทนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ผิดพลาดอย่างที่มนุษย์ปกติเขาทำกัน

ก็ดัน (ทุรัง) ให้ลงคะแนนใหม่ (ในนามของการนับคะแนนใหม่)

แล้วทำทุกวิถีทางที่จะเอาชนะให้ได้

แม้กระทั่งทำให้”งูเห่า” (ซึ่งควรจะเป็นเรื่องอุบาทว์) กลายเป็นเรื่องปกติขึ้นมาในสังคม

ถามว่างูเห่าสมควรถูกประณามไหม

ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องจริงก็ต้องประณาม

แต่ที่ควรถูกประณามไม่น้อยไปกว่ากัน

หรือจริงๆ ต้องมากกว่า

ก็คือคนที่ตั้งฟาร์มงูเห่าขึ้นมา

ทำลายหลักการประชาธิปไตย

ทำลายระบบจริยธรรม-คุณธรรม

แล้วยังมีหน้ามายืนยันว่าการกระทำเช่นนั้นถูกต้องดีงามแล้ว

สังคมไม่เสื่อมไหวหรือ?