ปฏิบัติการชัยยะสยบไพรี 60/1-2 ทลายเครือข่าย “ท้าวไซซะนะ” ทรัพย์สินอู้ฟู่ พัน “คนดัง-ไฮโซ”

ชาร์จจจับตัวไซซะนะ

เขย่าวงการไฮโซ เซเลบ ประเทศลาวทันทีเมื่อ พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) นำกำลัง บช.ปส. ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดปฏิบัติการ “ชัยยะสยบไพรี 60/1” ทลายขบวนการยาเสพติดข้ามชาติ จับกุม นายไซซะนะ แก้วพิมพา อายุ 42 ปี ชาวลาว ราชายาเสพติดรายสำคัญ ได้คาสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเย็นวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา

จากการสืบสวนเจ้าหน้าที่ทราบว่าขบวนการยาเสพติดนายไซซะนะ ต้นทางส่งมาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่ชั้นใน ขณะที่บางล็อตส่งต่อไปทางภาคใต้ ก่อนจะเข้าประเทศมาเลเซีย และส่งต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ เจ้าหน้าที่จึงประสานข้อมูลกับมาเลเซีย สิงคโปร์ และสำคัญสุดคือ สปป.ลาว ที่มีบุคคลต้องสงสัยแฝงตัวอยู่

หลังปฏิบัติการลุล่วงไปเพียง 1 วัน พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) นำชุดจับกุมแถลงข่าวว่าระหว่างปี 2558-2559 มีการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ 4 คดี ยาบ้ากว่า 5 ล้านเม็ด และขยายผลจนทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายค้ายาเสพติดของนายไซซะนะ

จากนั้นศาลได้ออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการทั้งสิ้น 9 ราย เป็นชาวไทย 7 ราย และชาวต่างชาติ 2 ราย

คาดว่าน่าจะมี 2 คนที่หลบหนีอยู่ภายในประเทศ คือ นายจันสี ทิดสิม และ น.ส.จิราภรณ์ วงแสนคำ ทั้งคู่เป็นชาวลาว

การปฏิบัติการดังกล่าว สามารถยึดทรัพย์สินกว่า 200 ล้านบาท

 

การขุดรากถอนโคนเครือข่ายนายไซซะนะ ดำเนินการต่อทันที โดย พล.ต.ต.สมหมาย เปิดเผยว่า บช.ปส. สืบสวนเพื่อทลายผู้ค้ายาเสพติดเครือข่ายนายไซซะนะ เป็นเครือข่ายที่ใหญ่และอันตรายกว่าเครือข่ายของ เล่าต๋า แสนลี่

จากการขยายผลพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 คดีที่จับกุมได้ช่วงปี 2558-2559 จัดหายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ้างกลุ่มขนส่งลำเลียงใช้รถยนต์ที่มีช่องลับ ซุกซ่อนยาเสพติดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ข้ามฝั่งมายังประเทศไทย ลำเลียงสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้

โดยมีขบวนการขนลำเลียง ทั้งรถนำและสำรวจเส้นทาง รถขนส่งลำเลียงและรถคุ้มกัน กลุ่มธุรกรรมทางการเงินและผู้ประสานงานสั่งการทุกครั้ง

จากนี้จะตรวจสอบยึดทรัพย์อีกหลายจังหวัด ทั้ง บช.ภ.1, บช.ภ.3 และ บช.ภ.5 เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังไปหมดแล้ว สำหรับนายไซซะนะอยู่ในเครือข่ายเดียวกันกับ อุสมาน สแลแมง กลุ่มยาเสพติดรายใหญ่ของภาคใต้ด้วย

เมื่อหลายข้อมูลถูกนำมาประกอบ เจ้าหน้าที่เริ่มเห็นเค้าลาง กระทั่งศาลอาญาอนุมัติหมายจับเครือข่ายค้ายาข้ามชาติ 9 ราย และถูกจับกุมไปแล้ว 5 ราย มีนายไซซะนะ, นายชุมพร พนมไพร อายุ 42 ปี ชาว จ.อุดรธานี นายปุ่น ชรินทร์ อายุ 53 ปี ชาว จ.สกลนคร น.ส.อ้อยทิพย์ ปัญญารักษ์ อายุ 28 ปี ชาว จ.สกลนคร

ก่อนที่ต่อมาจะสามารถจับกุม นายณัฐพล นาคคำ หรือบอย ได้ที่ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา

คำให้การของนายบอย ซัดทอดว่าทรัพย์สินบางส่วนอยู่ที่ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือที่รู้จักกันในฉายา เบนซ์ เรซซิ่ง สามีของนางเอกสาว แพท ณปภา ตันตระกูล

สอดคล้องกับข้อมูลที่พบว่าในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา นายบอยโอนย้ายถ่ายเททรัพย์สินและเงินส่วนหนึ่งเข้าบัญชีนายเบนซ์ ผนวกกับข้อมูลในทางสืบสวนพบความสัมพันธ์ระหว่างนายบอยและนายเบนซ์สนิทกันระดับหนึ่ง และนำรถสปอร์ตหรูลัมโบร์กีนี มาฝากไว้ที่ร้านขายของแต่งรถของนายเบนซ์

ทุกครั้งที่นายไซซะนะเดินทางมาเที่ยวพักผ่อนในไทย นายบอยจะนำรถคันดังกล่าวไปใช้รับส่งนายไซซะนะ เมื่อนายไซซะนะเดินทางกลับประเทศลาว จะนำมาจอดไว้ตามเดิม

 

จึงนำไปสู่การเข้า “ปฏิบัติการชัยยะ-สยบไพรี 60/2” เป็นการขยายผลทลายเครือข่ายนายไซซะนะ และนำกำลังจู่โจมเข้าตรวจยึดอายัดทรัพย์สินที่เชื่อว่ามาจากการค้ายาเสพติด โดยปูพรมตรวจยึดพื้นที่เป้าหมายทั้งในพื้นที่ กทม. และต่างจังหวัดพร้อมกันตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รวม 39 จุด

หนึ่งในการเข้าปฏิบัติการดังกล่าว คือการตรวจค้นร้านแอเรีย 51 (Area51) ซอยอินทรามระ 51 เปิดเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ ของนายเบนซ์ โดยการเข้าตรวจค้นครั้งนี้เพื่อค้นหารถลัมโบร์กีนี การาโด้ สีเทา หลังพบข้อมูลว่าเป็นทรัพย์สินที่มีความเชื่อมโยงกับนายไซซะนะ พ่อค้ายาเสพติดชาวลาว ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้

ในการเข้าตรวจค้นร้านแอเรีย 51 ครั้งนี้ ไม่พบตัวนายเบนซ์และรถลัมโบร์กีนีคันต้นเรื่อง

และเย็นวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ร้านคาร์แคร์แห่งหนึ่งย่านรามอินทรา ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและนำรถสปอร์ตหรู ยี่ห้อลัมโบร์กีนี สีเทา ทะเบียน กจ 51 กรุงเทพมหานคร หลักฐานสำคัญทางคดี มามอบให้เจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบ

โดยแจ้งว่ามีคนนำรถคันดังกล่าวมาจอดทิ้งไว้ให้ทำความสะอาด เช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ ยี่ห้อ KTM รุ่น ซูเปอร์ดุ๊ก ที่มีคนมาจอดไว้หน้าสโมสรตำรวจ ก่อนประสานให้ตำรวจนำมาไว้ที่ บช.ปส. เพื่อตรวจสอบ

กระทั่งบ่ายวันที่ 3 กุมภาพันธ์ นายเบนซ์นำเอกสารเข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ การสอบปากคำล่วงไปกว่า 5-6 ชั่วโมง ก่อนที่เจ้าตัวจะให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่า รถคันดังกล่าวเป็นของตน ที่ยืมเงินนายบอย 6 ล้านบาทเพื่อดาวน์รถเท่านั้น ก่อนจะชำระคืนไปแล้วบางส่วน ยืนยันไม่ได้ทำผิดกฎหมาย และไม่รู้จักกับนายไซซะนะมาก่อน พร้อมทั้งวอนสื่ออย่าเพิ่งตัดสิน ขอความเป็นธรรมกับตนด้วย

ขณะที่ตำรวจชุดสืบสวนและสอบสวนยังไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากยังพบพิรุธในธุรกรรมทางบัญชีบางส่วนของนายเบนซ์ ประกอบกับยอดเงิน 6 ล้านบาทที่นายเบนซ์และนายบอยให้การไว้ไม่ตรงกัน โดยนายบอยระบุว่าให้เงินแก่นายเบนซ์จริง

แต่ไม่ได้ให้ไปดาวน์รถตามที่นายเบนซ์กล่าวอ้าง

 

ก่อนที่ชื่อของ นายไผ่ ลิกค์ หรือไผ่ วันพอยท์ อดีต ส.ส.กำแพงเพชร จะปรากฏว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับรถลัมโบร์กีนีคันดังกล่าวด้วย เป็นเหตุให้นายไผ่ เข้าพบพนักงานสอบสวน บช.ปส. เพื่อเคลียร์ปมและแสดงความบริสุทธิ์ใจ เมื่อบ่ายวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดยนายไผ่ยืนยันว่า ไม่รู้จักกับนายบอยและนายเบนซ์เป็นการส่วนตัว แต่เพื่อนของตนขอให้ช่วยหารถตามที่นายบอยต้องการเท่านั้น ซึ่งรถตามต้องการมาลงตัวที่เต็นท์ของเอก บูโน่ ออโต คลินิก (BUONO AUTO CLINIC) ย่านพระราม 3 ที่ตนรู้จักเพราะอยู่ในวงการเดียวกัน โดยช่วงเวลาที่ตนหารถให้กับนายบอยนั้นคือช่วงเดือนตุลาคม 2559 และตนได้เจอกับนายบอยเพียง 2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่พานายบอยไปดูรถที่เต็นท์เอก บูโน่ และครั้งที่ 2 คือวันที่นายบอยไปรับรถพร้อมนายเบนซ์ และครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ได้เจอกับนายเบนซ์ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่รู้จักกับนายบอยและนายเบนซ์เป็นการส่วนตัว

ความพยายามแกะรอยเครือข่ายยาเสพติดของนายไซซะนะมานานกว่า 5 ปี ถูกโยงใยไปถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมไทยหลายคน ทั้งวงการนักการเมือง นักธุรกิจ ดารา คนมีสี โดยชุดสืบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อหาความชัดเจน

ก่อนจะเปิดปฏิบัติการ “ชัยยะสยบไพรี 60/3” เพื่อทลายเครือข่ายยานรกให้สิ้นซากต่อไป