คนของโลก : พีต บุตทิจิจ เกย์ผู้หวังชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ

พีต บุตทิจิจ นักการเมืองจากพรรคเดโมแครต ก้าวขึ้นมาเป็นที่รู้จักของเวทีการเมืองระดับชาติอย่างแท้จริง หลังจากประกาศลงชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 2020 อย่างเป็นทางการ

หลังบุตทิจิจประกาศความตั้งใจเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา น้อยคนนักที่จะรู้จักนักการเมืองวัย 37 ปีผู้นี้ หากไม่ได้อยู่ในเมืองเซาธ์เบนด์ เมืองเล็กๆ ที่มีประชากรราว 100,000 คนในรัฐอินเดียนา รัฐซึ่งเขาดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีอยู่ในเวลานี้

พีต หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “เมเยอร์พีต” เป็นนักการเมืองน้อยคนที่ประกาศตัวเป็นเกย์ ปรากฏตัวหลายครั้งในกิจกรรมหยั่งเสียงพร้อมกับ “แชสเทน บุตทิจิจ” ครูโรงเรียนมัธยมที่เวลานี้ก็มีโอกาสที่จะก้าวไปเป็น “สุภาพบุรุษหมายเลขหนึ่ง” คนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐเช่นกัน

บุตทิจิจไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสถานะทางเพศของตน

โดยเขาเคยประกาศตัวตนแบบตรงไปตรงมาเมื่อ 4 ปีที่แล้วก่อนที่จะหมั้นหมายกับ “แชสเทน” เมื่อปี 2017

คนที่เขาหวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วย ซึ่งบางทีอาจเป็นที่ทำเนียบขาวก็เป็นได้

 

ในบรรดาตัวแทนชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศพบว่าบุตทิจิจมีความนิยมอยู่ในอันดับ 4 รองจากคู่แข่งในพรรคเดโมแครตอย่างโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดี รวมไปถึงวุฒิสมาชิกประสบการณ์สูงอย่างเอลิซาเบธ วอร์เรน และบาร์นี แซนเดอร์ 3 คู่แข่งที่อายุเกิน 70 กันทุกคน

ล่าสุดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในรัฐไอโอวา ที่จะมีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งขึ้นต้นเพื่อเลือกตัวแทนพรรคเดโมแครตแบบคอคัสในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 นั้น บุตทิจิจมีคะแนนนำมาเป็นอันดับที่ 1 เหนือคู่แข่งทั้ง 3 คน

แสดงให้เห็นว่านายกเทศมนตรีเมืองเซาธ์เบนด์รายนี้ไม่ใช่คู่แข่งที่จะประมาทได้จริงๆ

บุตทิจิจประกาศที่จะยุติ “โชว์สยองขวัญ” ซึ่งหมายถึงการดำรงตำแหน่งประธานาธิดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ในเวลานี้

และประกาศตนเป็นสะพานเชื่อมไปสู่ “ยุคใหม่” ของการเมืองอเมริกัน

 

บุตทิจิจจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและออกซ์ฟอร์ด เคยเป็นทหารผ่านศึกในอัฟกานิสถาน และเคยเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของหน่วยกำลังสำรองกองทัพเรือสหรัฐ

บุตทิจิจผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเซาธ์เบนด์ตั้งแต่ปี 2012 เป็นนักการเมืองผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกที่เสนอเรื่องการเพิ่มจำนวนที่นั่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐ

โดยให้เหตุผลว่า การเปลี่ยนระบบดังกล่าวจะทำให้การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐนั้นเป็นการลดการเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันลง

หนึ่งในแผนการเปลี่ยนแปลงของบุตทิจิจ ก็คือการเพิ่มจำนวนผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่ดำรงตำแหน่งถาวร 10 ที่นั่ง บวกกับอีก 5 ที่นั่งที่จะหมุนเวียนเข้ามาทำหน้าที่ และ 5 คนนี้จะต้องได้รับการรับรองจากผู้พิพากษาถาวรอย่างเป็นเอกฉันท์ นอกจากนี้ ยังเสนอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีวาระการดำรงตำแหน่งเพียง 1 ปีเท่านั้น

หากบุตทิจิจประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งประธานาธิบดี นอกจากจะเป็นประธานาธิบดีเกย์คนแรกแล้ว จะยังเป็นประธานาธิบดีที่ก้าวขึ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีไปเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกอีกด้วย

 

การลงชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ของบุตทิจิจ ส่งผลให้เกิดคำถามตามมาเช่นกันว่า สหรัฐอเมริกาพร้อมสำหรับการเปิดโอกาสทางการเมืองให้กลุ่มแอลจีบีทีหรือไม่

ในยุโรปเองแม้จะมีหลายชาติที่เลือกผู้นำประเทศที่เป็นกลุ่มคนแอลจีบีทีอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2009 แต่ในสหรัฐนั้นยังคงมีกำแพงสำหรับตัวแทนชิงตำแหน่งของกลุ่มคนแอลจีบีที รวมไปถึงผู้หญิงด้วย

นอกจากบารัค โอบามา ที่เป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแล้ว ประธานาธิบดี 43 คนก่อนหน้านั้นก็เป็นผู้ชายผิวสีทั้งหมด และไม่มีใครเลยที่เปิดเผยว่าตนเป็นเกย์

แน่นอนว่าบุตทิจิจจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเวทีเลือกตั้งตัวแทนพรรเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2020 นี้