ธงทอง จันทรางศุ | “เท” ตัวเอง

ธงทอง จันทรางศุ

ยามที่คนเราล้มป่วยลงแล้วต้องเขียนหนังสือ จะมีเรื่องอะไรให้เขียนได้นอกจากเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยกับเรื่องของสังขาร

ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงสังขารของตัวเองที่ล่วงเลยเข้าวัย 64 ปีมาหลายเดือนแล้ว แล้วก็ถูกผมถูลู่ถูกังลากไปทำนู่นทำนี่อยู่ทุกวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งวันเสาร์-อาทิตย์

บัดนี้ผลที่เกิดขึ้นคือการต้องล้มตัวลงนอน เพื่อพักผ่อนจากอาการไข้หวัดที่เป็นมาได้สามสี่วัน กินยาสลับกับการนอนมาสองวันแล้ว กำหนดนัดหมายหลายอย่างต้องถูกเททิ้งไป

มีเพื่อนของผมคนหนึ่งพูดตักเตือนเป็นคติว่า “ไม่มีใครที่ถูกแทนที่ไม่ได้”

เมื่อมาตรึกตรองดูแล้วก็เห็นจริงตามคำพูดที่เขาว่า ต่อให้เป็นตำแหน่งใหญ่โตปานใดก็ตาม สักวันหนึ่งเราก็ต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่กันไป แล้วจะมีคนใหม่เข้ามาแทนที่

ถึงเวลานั้นเราไม่ควรไปกังวลแล้วครับว่าเขาจะทำได้ดีหรือด้อยกว่าเราสักแค่ไหน เพราะนั่นไม่ใช่ธุระของเราแล้ว

ข้อสำคัญอยู่ตรงที่ว่าเวลาที่เรายังอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่เป็น “สมมติ” ทั้งหลาย เราก็ทำให้ดีที่สุดในส่วนของเราเท่านั้นเป็นพอ

ขออนุญาตยกตัวอย่างใกล้ตัวสักเรื่องหนึ่ง ผมเป็นคนสนใจด้านประวัติศาสตร์ แต่ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ไม่กล้าเลือกเรียนวิชาประวัติศาสตร์โดยตรง เพราะนึกไม่ออกว่าเรียนจบแล้วจะไปทำมาหากินอะไร เพราะเมืองไทยครั้งนั้นยังไม่มีทางเลือกของอาชีพการงานกว้างขวางเท่าทุกวันนี้

เพื่อความปลอดภัยผมจึงเลือกเรียนวิชากฎหมายซึ่งเป็นวิชาชีพเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังพอนึกออกว่าเรียนแล้วจะได้เป็นผู้พิพากษา อัยการหรือทนายความ

แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ว่าสักอย่างหนึ่ง

เพราะเมื่อเรียนจบปริญญาโทแล้วก็มาเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มสอนปีแรกตั้งแต่พุทธศักราช 2523 วิชาที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สอนร่วมกับอาจารย์ผู้ใหญ่รุ่นพี่ท่านหนึ่ง คือวิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย

อาจารย์รุ่นพี่ท่านนั้นชื่ออาจารย์วิชา มหาคุณ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังติดอันดับหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เมืองไทยมาแล้วหลายรอบ

ผ่านไปไม่กี่ปี มีเหตุที่พี่วิชาต้องออกไปรับราชการต่างจังหวัด ตามระบบหมุนเวียนปกติของผู้พิพากษา

จากเดิมที่ผมรับผิดชอบสอนอยู่เพียงครึ่งวิชาก็เลยกลายเป็นเจ้าของวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายเต็มตัว

จากนั้นผมก็สอนวิชานี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

แต่ความจริงที่ไม่มีใครหนีพ้นก็คือสักวันหนึ่งผมจะไม่อยู่ในโลกใบนี้ หรือแม้ยังไม่ตาย แต่ก็คงไม่มีแรงออกจากบ้านไปสอนหนังสือ ดูอาการโลดโผนโจนทะยานเหมือนอย่างตอนอายุ 30 ต้นๆ ได้อีกแล้ว

เราจึงต้องวางแผนครับ

สิ่งที่เป็นแผนการและได้ลงมือปฏิบัติไปแล้ว คือการเจรจาหารือกับทางคณะนิติศาสตร์ซึ่งเป็นเจ้าของวิชาตัวจริง ว่ามีอาจารย์รุ่นน้อง รุ่นลูกศิษย์ของผมที่เรียนจบกลับมาจากเมืองนอกและเป็นอาจารย์มานานพอสมควรแล้ว มีความรู้ความสามารถที่จะสอนวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายได้ดีไม่แพ้ผม และน่าจะดีกว่าผมด้วยซ้ำไป ขอให้เราได้เป็นผู้สอนร่วมกันในวิชานี้เถิด

ประมาณว่าแบ่งกันคนละครึ่งวิชาเหมือนอย่างที่ผมเคยได้รับความกรุณาจากพี่วิชามาในอดีต จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนให้มากขึ้นเรื่อยๆ

ปกติแล้วหนึ่งภาคการศึกษาในมหาวิทยาลัยก็จะมีระยะเวลานานประมาณ 16 สัปดาห์หรือสี่เดือน เมื่อผมเริ่มทำความตกลงดังกล่าวผมก็ลดปริมาณงานลง เหลือเพียงแค่การสอนวิชานั้นภาคเรียนละแปดครั้ง

อีกแปดครั้งก็เป็นอาจารย์ผู้สอนอีกท่านหนึ่ง

เมื่อเวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่งมาถึงวันนี้ ภาคการศึกษาต้นที่เปิดเรียนมาตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมรับหน้าที่เป็นผู้บรรยายวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายเพียงสี่ครั้ง

อีก 12 ครั้งเป็นฝีมือบรรยายของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชัชพล ไชยพร ผู้เป็นทั้งรุ่นน้อง ลูกศิษย์และปิยมิตรของผม

การที่มีอาจารย์อีกท่านหนึ่งมาเป็นผู้สอนร่วม มองในมุมของนิสิต นิสิตก็ได้ประโยชน์ดีอยู่มาก เพราะจะได้ฟังแง่มุมที่ชวนคิด ชวนตรึกตรองตามจากอาจารย์สองคน

เข้าแบบสุภาษิตที่ว่า สองหัวดีกว่าหัวเดียว

ขณะเดียวกันกับที่อาจารย์ผู้สอนอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์ประจำไม่ใช่อาจารย์พิเศษที่เป็นบุคคลภายนอกอย่างผม เขาก็จะได้มี “ภาระงาน” หรือที่เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า Work load สำหรับไปคิดคำนวณเป็นความดีความชอบ อีกทั้งการเป็นอาจารย์ผู้สอนในวิชาเช่นนี้ ก็จะเร่งเร้าให้ผู้เป็นอาจารย์ต้องแต่งตำรา เพื่อเสริมสร้างความรู้ในวิชาดังกล่าวให้เป็นปึกแผ่นแก่นสารมากยิ่งขึ้น และจะเป็นประโยชน์ในการสร้างความก้าวหน้าในทางวิชาการทั้งของตัวอาจารย์เองและของสถาบัน

ผมถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ที่เกิดมาก่อนและเป็นครูของเขา ต้องให้โอกาสและสนับสนุนผู้ที่เดินตามมาข้างหลังให้แสดงฝีไม้ลายมือที่เขามีอยู่อย่างเต็มที่ เราแก่แล้ว อย่าไปยืนขวางทางเขาเลย โลกจะเจริญได้ก็เพราะคนรุ่นใหม่ที่เราสามารถฝากความหวังไว้กับเขานั่นเอง

โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใหญ่จะตายก่อนเด็กครับ

อีกไม่นานผมน่าจะอยู่ในฐานะที่ไม่มีชื่อเป็นผู้สอนวิชาดังกล่าวประกบชื่อกันกับอาจารย์ชัชพลอีกต่อไป ถึงวันนั้นท่านอาจารย์ชัชพลจะเป็นผู้รับผิดชอบวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายเต็มตัว เหมือนอย่างที่ผมเคยได้รับโอกาสเช่นนั้นมาแล้วจากพี่วิชา มหาคุณ

ถ้าวันนั้นมาถึง อย่างมากที่สุดที่ผมจะทำได้ ก็คือการรับเชิญมาพบกับนิสิตเพื่อบรรยายหัวข้อพิเศษที่อาจารย์ชัชพลเห็นว่าเหมาะควรกับฐานานุรูปของผม เป็นครั้งเป็นคราวไป

เรื่องนี้ค่อยว่ากันในวันข้างหน้าครับ ถึงเวลาเขาเชิญมาจริง ผมอาจจะไม่รับเชิญก็ได้นะ

แน่ะ! มีการเล่นตัวเสียด้วย ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ถึงวันนั้นจะมีแรงออกจากบ้านหรือเปล่ายังไม่รู้เลย

ที่พูดมาเสียยืดยาวนี้เพื่อเตือนตัวเองและบอกคนอื่นว่า ไม่มีใครหรือตำแหน่งไหนที่ไม่ถูกแทนที่ ในเวลาที่อยู่ในชีวิตการทำงานแบบเต็มเวลา ผมก็เคยเป็นอะไรมาเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นคณบดี เลขาธิการ ปลัดกระทรวง กรรมการโน่นกรรมการนี่ สารพัดที่เคยเป็นมาแล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็กลายเป็นอดีต

นายกก็เคยเป็นมาแล้วครับ นายกสมาคมศิษย์เก่าสาธิตปทุมวันนั่นไง ตอนนี้ทุกอย่างก็กลายเป็นอดีตไปแล้วทั้งหมด

ตัวจริงของเราคือที่คนกำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่นี่ และกำลังถูกหวัดกินงอมแงม

เพราะฉะนั้น การประชุมบ่ายวันนี้ ถ้าถูกผมเททิ้งอีกสักหนึ่งหรือสองการประชุม อย่าว่าอะไรเลย

เตรียมหาคนมาแทนที่ได้แล้วครับ