ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 พฤศจิกายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าใครมีโอกาสผ่านไปบริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครในวันที่พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวเปิดทำการ ท่านจะได้เห็นมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
นั่นคือคนเข้าแถวยาวเป็นงูกินหางรอเข้าชมนิทรรศการที่จัดแสดงในพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน นิทรรศการนี้เป็นที่รู้จักกันในนามอย่างไม่เป็นทางการว่า นิทรรศการจิ๋นซี
ซึ่งเป็นการเรียกอย่างย่อเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าเนื้อหานิทรรศการเน้นพระราชประวัติและผลงานของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ และมีสิ่งดึงดูดน่าสนใจอย่างสำคัญคือ ตุ๊กตาทหารจีนขนาดเท่าตัวคนจริง ทำด้วยกระเบื้องดินเผา
เพราะใครหลายคนคงคุ้นเคยกันกับภาพตุ๊กตาทหารจีนทำนองนี้ เข้าแถวกันเป็นร้อยเป็นพันตัวอยู่ในสุสานของจักรพรรดิจิ๋นซีที่เมืองจีนมาแล้ว
เมื่อไม่มีปัญญาหรือไม่มีโอกาสจะไปดูที่เมืองจีน แล้วรัฐบาลจีนกับรัฐบาลไทยร่วมมือกันจัดนิทรรศการพิเศษ โดยนำทหารตุ๊กตาเหล่านี้มาให้ชมถึงบ้าน
แม้จะมีจำนวนเพียงไม่กี่ตัวก็ตามทีเถิด แล้วเราจะพลาดได้อย่างไร จริงไหมครับ
สองวันก่อนผมพบปะพูดคุยกันกับท่านรองอธิบดีกรมศิลปากรท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าเพื่อตอบสนองความสนใจของประชาชนเรื่องนี้ กรมกำลังคิดจะประสานกับทางฝ่ายจีน ขอขยายระยะเวลาการจัดแสดงนิทรรศการดังกล่าว ซึ่งเดิมกำหนดเสร็จสิ้นอยู่ภายในเดือนธันวาคมนี้ให้ยืดยาวออกไปจนถึงต้นปีหน้า
ส่วนจะสำเร็จผลหรือไม่ต้องรอฟังข่าวกันต่อไป
ท่านรองอธิบดีอธิบายว่าตุ๊กตาทหารจีนที่ทำจากกระเบื้องดินเผาเหล่านี้ มีคิวโชว์ตัวตามประเทศต่างๆ มากอยู่เหมือนกัน เปรียบได้ว่ามีคนรอถือป้ายไฟเป็นกองเชียร์อยู่หลายประเทศ
การนำนิทรรศการความรู้พิเศษในหัวข้อเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากหนึ่งประเทศไปจัดแสดงในประเทศอื่นเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกเขาทำกันมาช้านานแล้ว
จะมียกเว้นก็แต่เมืองไทยของเรานี่แหละครับ ที่นานปีทีหนถึงจะมีเรื่องอย่างนี้มาให้ดูสักครั้งหนึ่ง
จากประสบการณ์ของผู้ทรงวัยวุฒิอย่างผม(แปลว่าแก่) พอจะนึกออกครับว่า ทำไมบ้านเราจึงไม่มีนิทรรศการจากเมืองนอกหมุนเวียนเข้ามาให้ชมได้บ่อยครั้งอย่างคนอื่นเขา
ข้อแรกเป็นความขัดข้องทางเทคนิค ขยายความว่านิทรรศการโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุจากต่างประเทศเช่นนี้ เป็นของที่เขาทะนุถนอมมาก
การจัดแสดงในต่างประเทศต้องเลือกเฟ้นว่าประเทศที่จะรับเป็นเจ้าภาพจัดแสดงต้องมีสถานที่จัดแสดงที่ได้มาตรฐานสากล
มาตรฐานที่ว่านี้มีหลายอย่าง เช่น ความชื้นและอุณหภูมิที่ต้องสม่ำเสมอและควบคุมให้เหมาะสมได้ตลอดเวลา มีกลไกเครื่องมือสำหรับวัดตรวจสอบได้ชัดเจน
ดวงไฟแสงสว่างต้องไม่ทำอันตรายให้กับโบราณวัตถุ
อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยต่างๆ มีครบถ้วน
เฉพาะข้อแรกข้อเดียวนี้เราก็หืดขึ้นคอแล้ว
เพราะบ้านเราไม่ค่อยจะมีสถานที่ที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติเช่นว่านี้
เมื่อประมาณหนึ่งปีมาแล้ว มีนิทรรศการจากสหรัฐอเมริกา โดยสถานเอกอัครราชทูตอเมริกาประจำประเทศไทยเป็นผู้ประสานงานยืมข้าวของจากพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดหลายแห่งในสหรัฐอเมริกามาจัดแสดงในเมืองไทย
เนื้อเรื่องและข้าวของทั้งหลายว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศที่ยืนยาวมากว่า 200 ปี
ของแต่ละชิ้นเป็นของมีค่าหายาก ก่อนจะลงมือจัดนิทรรศการกันจริง มีการส่งทีมผู้เชี่ยวชาญมาสำรวจและเจรจากันหลายรอบ
ผมยังมีโอกาสได้พูดคุยกับฝรั่งที่มาทำงานเรื่องนี้บ้างเลยครับ
สุดท้ายก็ไปตกลงได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดแสดงนิทรรศการพิเศษเรื่องดังกล่าวได้ ที่พิพิธภัณฑ์ผ้า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ภายในพระบรมมหาราชวัง
คราวนั้นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ซึ่งหมายความถึงพระที่นั่งศิวโมกข์พิมานที่กำลังจัดแสดงเรื่องจิ๋นซีอยู่ในเวลานี้ ไม่ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการเรื่องนั้น
ส่วนจะเป็นด้วยสาเหตุว่าไม่ผ่านเกณฑ์เรื่องใด หรือเป็นสาเหตุอย่างอื่นผมไม่สามารถยืนยันได้
แต่ก็ได้ทราบว่าประสบการณ์หรือบทเรียนครั้งนั้นทำให้กรมศิลปากรของไทยต้องเร่งคิดอ่านปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ของบ้านเรา ไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเราก็ได้มาตรฐานโลกกับเขาเหมือนกัน
ดังนั้น การที่นิทรรศการเรื่องจิ๋นซีมาเป็นแขกรับเชิญของเมืองไทยครั้งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นประกาศนียบัตรสำคัญที่รับรองว่าเราสอบผ่านข้อสอบหินข้อนี้แล้ว
ข้อสองคือเรื่องโสหุ้ยหรือค่าใช้จ่าย
ลองนึกดูนะครับว่าการขนย้ายของโบราณที่มีทั้งคุณค่าและราคาสูงจากประเทศหนึ่งไปสู่อีกประเทศหนึ่ง จะมีค่าใช้จ่ายมหาศาลสักปานใด
การไปจัดแสดงก็ต้องมีการออกแบบไว้ล่วงหน้าว่าจะมีตู้หรือมีข้าวของเครื่องใช้ที่เหมาะสมสำหรับการจัดวางโบราณวัตถุศิลปวัตถุเหล่านั้นอย่างไรบ้าง
และที่เจ็บปวดอีกอย่างหนึ่ง คือค่าใช้จ่ายในการทำสัญญาประกันภัย
จริงอยู่ว่าแม้ของเหล่านี้ถ้าเสียหายไปอาจจะไม่สามารถหาอะไรมาทดแทนได้ เพราะเป็นของมีอยู่ชิ้นเดียวในโลก
แต่ถึงกระนั้นการทำสัญญาประกันภัยก็เป็นเรื่องที่จะพอเยียวยาอะไรได้บ้าง แม้จะไม่สามารถเสกหรือสร้างให้ของชิ้นเดียวที่สูญหายไปนั้นกลับคืนมาได้ก็ตาม
ผมเคยเห็นในต่างประเทศว่าค่าใช้จ่ายมหาศาลเหล่านี้ ลำพังที่จะให้พิพิธภัณฑ์เป็นผู้แบกรับภาระทั้งหมดเห็นจะเกินกำลัง
เขาก็จะมีบริษัทขนาดใหญ่ที่ใส่ใจสนใจเรื่องเหล่านี้มาเป็นสปอนเซอร์
ใครมาเป็นผู้สนับสนุนอุปถัมภ์รายการเขาก็มีการให้เครดิตติดป้ายบอกยี่ห้อไว้ตรงทางเข้านิทรรศการและอยู่ในหนังสือสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
เจ้าภาพที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าภาพเดี่ยวนะครับ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพหลายบริษัทก็ได้
ค่าใช้จ่ายที่บริษัทนำมาสนับสนุนการจัดงานที่เป็นสาธารณประโยชน์เช่นนี้ บริษัทสามารถนำไปเป็นประโยชน์ในการกำหนดลดหย่อนภาษีได้ด้วย
ขณะเดียวกันก็ได้ชื่อเสียงว่าเป็นผู้มีใจกุศล แถมยังเป็นคนมีรสนิยมดีด้วยนะครับ จึงมารู้จักของที่เป็นศิลปวัตถุโบราณวัตถุเหล่านี้ได้
แบบนี้ถ้าออกกฎหมายลดภาษีเงินบริจาคประเภทนี้ให้นำไปกำหนดลดหย่อนเป็นสองเท่า ของจำนวนเงินที่บริจาคจริง น่าจะเข้าท่าดีอยู่ไม่ใช่น้อย
ข้อที่สาม คือนโยบายที่สนับสนุนหรือเอาจริงเอาจังในเรื่องอย่างนี้
ถ้าเป็นรัฐบาลที่มีความเข้าใจคุ้นเคยเช่นรัฐบาลสิงคโปร์
ผมได้เคยคุยกันกับท่านเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทย ซึ่งบัดนี้ท่านย้ายกลับบ้านไปแล้ว
ท่านทูตบอกผมว่าสิงคโปร์ยอมลงทุนในเรื่องเหล่านี้
ยอมเสียสตางค์ให้นิทรรศการจากต่างประเทศดีๆ มาจัดแสดงในสิงคโปร์
เป็นเหมือนกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว
นกตัวแรกคือ ชาวสิงคโปร์เองมีโอกาสที่จะได้รับการศึกษา ได้เห็นของจริง ไม่ใช่ดูจากรูป
เข้าทำนองตำราที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น แต่อย่าเอามือไปคลำก็แล้วกัน
ส่วนนกตัวที่สองคือ กิตติศัพท์ที่จะบันลือไปไกลในนานาชาติ และอาจเป็นเรื่องจูงใจให้มีคนเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ไปดูนิทรรศการเหล่านี้
ทำให้เกิดทั้งรายได้และชื่อเสียงกับประเทศสิงคโปร์ไปพร้อมกัน
นิทรรศการพิเศษที่มาจากต่างประเทศแต่ละครั้งต้องเตรียมการล่วงหน้ากันแรมปี มาอยู่สิงคโปร์คราวหนึ่งก็หลายเดือน
ตีฆ้องร้องป่าวล่วงหน้าด้วยสารพัดวิธี ให้ทั้งคนสิงคโปร์เองและชาวต่างชาติได้รับทราบข้อมูลแล้วแย่งกันมาชม
ผมรับสารภาพเต็มปากเต็มคำเลยครับว่าเคยเป็นนกตัวที่สองของสิงคโปร์มาแล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณปีเศษหรือสองปีมาแล้ว ผมได้ข่าวว่ามีนิทรรศการพิเศษเรื่องศิลปะขอม ที่สิงคโปร์นำมาจากพิพิธภัณฑ์สำคัญในกรุงปารีส ที่ชื่อว่ากีเม่ต์ ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นเจ้ายุทธภพในเรื่องศิลปะขอม เพราะฝรั่งเศสเคยเป็นเจ้าอาณานิคมของเมืองกัมพูชามาก่อน ถึงขนของอย่างดีวิเศษไปเก็บไว้ที่กรุงปารีส
เมื่อทั้งสองประเทศตกลงจะขนของสวยของดีเมืองขอมมาจัดแสดงที่สิงคโปร์ ซึ่งราคาตั๋วเครื่องบินถูกกว่าบินไปถึงกรุงปารีสเป็นไหนๆ
แบบนี้ผมก็เสียสตางค์บินไปสิงคโปร์สิครับ
เสียเงินคนเดียวยังไม่พอ กลับมาถึงเมืองไทยก็เขียนโฆษณาลงใน Facebook ของตัวเอง
ปรากฏว่ามีนกประเภทเดียวกันกับผมบินไปสิงคโปร์หลายคนครับ
รวมทั้งผู้บริหารหลายท่านของมติชนที่เดินวนเวียนอยู่แถวนี้ด้วย
เสร็จสิงคโปร์ทั้งนั้นครับ
จริงไหมครับคุณปานบัว บุนปาน
ตรงนี้ต้องตั้งคำถามว่า รัฐบาลไทยเรา กระทรวงวัฒนธรรมของเรา มีนโยบายหรือท่าทีอย่างไรในเรื่องนี้
ลำพังกรมศิลปากรคิดคนเดียวไปไม่รอดหรอกครับ
กรมศิลปากรก็เหมือนแม่ลูกดกที่มีภารกิจหลายอย่าง
ไหนจะพิพิธภัณฑ์ ไหนจะโบราณคดีต้องขุดค้น ไหนจะหอสมุด หอจดหมายเหตุ ช่างสิบหมู่ นักร้องนักรำนักแสดง
แค่เลี้ยงลูกแต่ละคนให้รอดชีวิตได้ก็บุญโขแล้ว
จะให้ส่งเสียเล่าเรียนถึงปริญญาเอกทุกคนเห็นจะเกินกำลัง
พูดกันด้วยความเป็นธรรมให้ถึงแก่น ผมไม่ได้หมายถึงรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ผมเห็นว่ารัฐบาลไทยชอบจัดงานอีเวนต์ครับ
จัดอะไรให้ฟู่ฟ่าหรูหรา ใช้เงินแต่ละคราวก็ไม่น้อย แต่แค่วูบเดียวหาย เหมือนจุดพลุลอยขึ้นฟ้า สว่างโพลงอยู่ไม่กี่วินาทีแล้วก็ดับวูบลง
ใจผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า งดจัดอีเวนต์สักสองสามงาน รวมเงินที่ประหยัดได้มาจัดนิทรรศการแบบที่ว่ามานี้น่าจะเกิดประโยชน์ระยะยาวที่ยั่งยืนมากกว่า
คิดแบบนี้เลยไม่ได้เป็นรัฐมนตรีเสียที ฮา!
ผมจะต้องจองตั๋วเครื่องบินไปสิงคโปร์อีกกี่รอบหนอ