เพื่อไทยถล่มรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ หลังสหรัฐฯตัด “จีเอสพี” ไทย

วันที่ 27 ตุลาคม 2562 กลายเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหนักอีกเรื่อง ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจไทยตลอดกว่า 5 ปี ที่เผชิญทั้งตัวเลขการส่งออกลดลง ค่าเงินบาทแข็งตัว รวมถึงตัวเลขการเจริญเติบโตทั้งจากเวิล์ดแบงก์หรือไอเอ็มเอฟคาดการณ์แบบสวนทางกับสิ่งที่รัฐบาลไทยพยายามชี้แจงว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเติบโต ล่าสุดสหรัฐฯประกาศระงับสิทธิพิเศษทางการค้าหรือจีเอสพีกับไทย ยิ่งซ้ำเติมปัญหาที่ไทยต้องพึ่งพาการส่งออกไปต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ ประเทศคู่ค้ารายใหญ่

“จิราพร” ซัดไทยโดนตัด “จีเอสพี” สะท้อนรัฐบาลไร้เชื่อมั่น-ไร้ประสิทธิภาพ

นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส. จังหวัดร้อยเอ็ด เขต 5 ในฐานะรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศระงับการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP กับสินค้าของไทยคิดเป็นมูลค่า 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 40,000 ล้านบาทว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ รับทราบถึงความเป็นไปได้ที่ไทยจะถูกระงับสิทธิ GSP นี้ ตั้งแต่เป็นรัฐบาล คสช. และได้รับการแจ้งเตือนมาเป็นระยะ แต่กลับไม่มีการแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบอย่างทั่วถึง ไม่มีการศึกษาผลกระทบและจัดเตรียมมาตรการที่จะช่วยบรรเทาปัญหาที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ จนสหรัฐฯ ประกาศระงับสิทธิดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายยังคงงุนงงต่อกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่น่ากังวลว่าภาคเอกชนจะมีเวลาในการปรับตัวเพียงแค่ 6 เดือนก่อนที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ

การถูกระงับสิทธิ GSP ในครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพและไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากต่างชาติเหมือนที่เคยอวดอ้าง ที่ผ่านมามีกรอบการประชุมในหลายระดับซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ สามารถใช้ในการเจรจากับสหรัฐฯ ได้ แต่กลับล้มเหลวทั้งหมด ทำให้เข้าใจได้ว่า ผลงานเดียวที่รัฐบาลสามารถเจรจาสำเร็จคือ การสั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ

การส่งออกของไทยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาติดลบอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกภายใต้สิทธิ GSP สูงเป็นอันดับ 1 การถูกระงับสิทธิ GSP จะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลง เพราะสินค้าไทยหลายรายการอาจถูกประเทศที่ยังได้รับสิทธินี้ใช้ความได้เปรียบในแง่ของราคาเข้ามาแย่งตลาด หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้จะกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะยาว

นอกจากนี้ นางสาวจิราพรยังกล่าวว่า ตนอยากฝากให้รัฐบาลเลิกทำตัวอุ้ยอ้ายทำอะไรก็ไม่เคยทันการ โดยขอให้เร่งออกมาตรการเยียวยาและลดผลกระทบที่สามารถดำเนินการได้จริง ไม่ใช่เพียงมาตรการที่เคยตั้งไว้แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่สามารถทำได้สำเร็จเหมือนหลายกรณีที่ผ่านมา ที่สำคัญรัฐบาลต้องแสดงให้เห็นว่า มีความสามารถในการบริหารประเทศไม่ได้ถนัดแค่สั่งซื้ออาวุธเพียงอย่างเดียว

“ผู้กองมาร์ค” แนะ “ประยุทธ์” เร่งฟื้นสัมพันธ์สหรัฐฯ ก่อนเสียโอกาสจีเอสพี 4 หมื่นล้าน

ด้านร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช เลขานุการกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ภายใต้การปกครองประเทศซึ่งโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากว่า 5 ปีนั้น ประเทศไทยบอบช้ำมามากแล้ว และจากกรณีที่สหรัฐอเมริกาตัดสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรสินค้า (Generalized System Preference: GSP) จากไทยจำนวน 600 รายการ มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท มีผล 6 เดือนหลังประกาศ ณ วันที่ 25 ต.ค.62 โดยอ้างเหตุเรื่องสิทธิ สวัสดิการแรงงานไทยล้มเหลว ไม่สามารถจัดการแรงงานให้เทียบมาตราฐานสากลได้ และจากการที่ปัญหาเศรฐกิจตกต่ำมากมาโดยตลอด ซึ่ง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาก็ไม่ได้ผล แถมตอนนี้ยังมีมาตรการจากสหรัฐอเมริกาที่ตัดสิทธิ GSP อีก อย่างนี้คนไทยจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้อย่างไร

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ฯ กล่าวอีกว่า จากการที่ตนได้ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกับสหรัฐอเมริกามาหลายรัฐบาล ทราบดีถึงระบบการทำงานที่เป็นมืออาชีพของสหรัฐอเมริกา ซึ่งยึดผลประโยชน์ของประชาคมโลกเป็นหลักมาโดยตลอด และจากความสัมพันธ์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยมีมายาวนาน จึงเป็นไปได้ยากที่ว่า สหรัฐจะมีมาตราการตอบโต้ไทยจากการที่ได้สั่งแบนสารพิษทั้ง 3 ชนิด เพราะสหรัฐอเมริกาเองก็คงไม่ยอมให้บริษัทสารพิษมาบัญชาการอยู่เบื้องหลัง และท่ามกลางความขัดแย้งของสองมหาอำนาจ รัฐบาลไทยควรต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ หรือรัฐบาลให้ประเทศจีน มาทำ เมกะโปรเจกต์ ในประเทศไทยมากเกินไป หรือไปเอาใจและใช้เงินภาษีของประชาชนคนไทย ซื้ออาวุธ จะเป็นต้นเหตุหรือไม่ ก็ไม่อาจจะทราบได้ ซึ่งอย่างไรก็ตาม ตนจึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์เร่งประสานความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาโดยด่วน และเสริมสร้างรายได้ให้กับคนไทยทันที่ โดยการสนับสนุนให้คนไทยใช้ของไทย ส่งเสริมการส่งออกอย่างเป็นระบบ สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน เพิ่มศักยภาพในการพัฒนาระบบ Blockchain ระบบโครงข่ายในการทำธุรกรรมออนไลน์ เพื่อนำเงินภาษีเข้าสู่ระบบ และจัดเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์และจัดการเพื่อให้มีความสะดวกสบายและปลอดภัยสำหรับนักลงทุนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ