วิเคราะห์ | ศึกเลือกซ่อมนครปฐม เขต 5 อนค.ลุย พท.หลบ 2 พรรครัฐบาลตัดกันเอง จับตาดุลการเมืองเปลี่ยน?

สมรภูมิเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครปฐม เขต 5 เข้าสู่โค้งสุดท้าย พร้อมสัญญาณระอุถึงการเมืองระดับประเทศ

กกต.ประกาศให้มีการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างในวันพุธที่ 23 ตุลาคมนี้ หลังนางจุมพิตา จันทรขจร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ลาออกเนื่องด้วยปัญหาสุขภาพจากอุบัติเหตุ

พรรคอนาคตใหม่แชมป์เก่าส่งนายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร สามีนางจุมพิตา อดีต ส.ส.ลงชิงชัยรักษาเก้าอี้

โดยพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย ประกาศหลีกทางไม่ลงแข่ง ด้วยเหตุผลต้องการให้เกียรติอนาคตใหม่เจ้าของพื้นที่เดิม และต้องการทำงานประสานความร่วมมือกันใน 7 พรรคฝ่ายค้านมากกว่าตัดคะแนนกันเอง แล้วเปิดโอกาสให้ฝ่ายรัฐบาลได้ฉกฉวย

ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลกลับ “ฮั้วแตก”

เมื่อประชาธิปัตย์อ้างสิทธิ์การได้คะแนนอันดับ 2 ในการเลือกตั้งสนามนี้เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ส่งนายสุรชัย อนุตธโต ผู้สมัครคนเดิมลงล้างตา ท่ามกลางแรงหนุนจากพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพลังประชารัฐ

ในจังหวะที่ชาติไทยพัฒนายืนยันส่งนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ อดีต ส.ส.หลายสมัยลงทวงศักดิ์ศรี “บ้านใหญ่นครปฐม” หลังจากครั้งที่แล้วพ่ายแพ้ให้กับนางจุมพิตาแบบหมดรูป

สำหรับเขตเลือกตั้งที่ 5 จ.นครปฐม ประกอบด้วย อ.สามพราน (ยกเว้น ต.ตลาดจินดา ต.คลองจินดา และ ต.บางช้าง) ในการเลือกตั้ง 24 มีนาคม ผลปรากฏ

นางจุมพิตา จันทรขจร พรรคอนาคตใหม่ ได้รับเลือกเป็น ส.ส. 34,164 คะแนน, นายสุรชัย อนุตธโต พรรคประชาธิปัตย์ 18,970 คะแนน, นายระวัง เนตรโพธิ์แก้ว พรรคพลังประชารัฐ 18,741 คะแนน ส่วนนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พรรคชาติไทยพัฒนา อันดับ 4 ได้ 12,279 คะแนน จากผู้สมัครทั้งสิ้น 21 คน

ครั้งนั้นผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวนทั้งสิ้น 143,059 คน

มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 109,038 คน บัตรดี 101,879 ใบ บัตรเสีย 4,770 ใบ และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 2,387 ใบ

นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวยืนยันประชาธิปัตย์ไม่เคยส่งใครมาพูดคุยให้หลีกทางในการส่งผู้สมัครครั้งนี้

“นายเผดิมชัยเป็นผู้ใหญ่ในจังหวัดนครปฐม การไม่ให้คนในตระกูลสะสมทรัพย์ลงก็ต้องให้เกียรติกันด้วย ประชาธิปัตย์จะมาบอกว่าได้คะแนนมากกว่าในการเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่การทำงานมากว่า 30 ปี จะไม่นับกันเลยหรือ

ในทางการเมืองเกิดความผิดพลาดกันได้ จะเอาความผิดพลาดครั้งเดียวมาตัดสินคงไม่ได้ ถามว่าตระกูลสะสมทรัพย์ทำงานในจังหวัดนครปฐมมา 30-40 ปี ผิดพลาดครั้งเดียวจะไม่ให้ลงคงทำไม่ได้”

เลือกตั้งซ่อมครั้งนี้แม้มีเพียง 1 ที่นั่งให้ช่วงชิง

แต่ในสถานการณ์รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ มี ส.ส.มากกว่าฝ่ายค้านไม่กี่คน

บวกกระแสความนิยม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กลับมาเป็นนายกฯ รอบ 2 ทรุดต่ำลงทุกวัน

จากผลงานการบริหารประเทศ การแก้วิกฤตเศรษฐกิจ แก้ภัยธรรมชาติ ฯลฯ ไม่นับรวมปัญหาการเมืองอื่นที่สังคมยังค้างคาใจ ไม่ว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณ การแถลงนโยบาย การนำคนที่มีประวัติมัวหมองมาเป็นรัฐมนตรี

ผลเลือกตั้งครั้งนี้จึงเสมือนเสียงสะท้อนของประชาชนต่อรัฐนาวา “แป๊ะคนเดิม” ผ่านมา 7 เดือนหลังเลือกตั้งใหญ่ สอบผ่านหรือสอบตก

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ระบุ การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะเป็นการพิพากษา พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยการลงคะแนนไม่ไว้วางใจโดยประชาชน

เป็นเสียงสะท้อนความเอือมระอากับความลำบาก จากการมีนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากประชาชน ไม่สนใจประชาชน ทำร้ายกระเป๋าสตางค์ของประชาชน

จึงขอแรงประชาชนร่วมกันแสดงพลังเพื่อเปลี่ยนแปลงในวันที่ 23 ตุลาคมนี้

พรรคอนาคตใหม่เล็งเห็นความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากการที่พรรคจะมี ส.ส.เพิ่มอีก 1 คน ยังสำคัญต่อการทำงานในสภาของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งถูกสูตรพิสดารคำนวณให้กลายเป็นเสียงข้างน้อย ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำ

ถ้าครั้งนี้ฝ่ายค้านได้เสียงเพิ่ม ก็อาจทำให้รัฐบาลกลายเป็นเสียงข้างน้อยจากการเลือกตั้งซ่อมทุกพื้นที่ในอนาคต

โดยมีเขต 5 จ.นครปฐม เป็นจุดเริ่มต้นที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนข้างรัฐบาล

“ใครหวังว่าการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ออกไป แต่ยังกลับเข้ามาด้วยเสียง ส.ว. 500 เสียงร่วมโหวต ขอให้เก็บความแค้น ความเสียใจ ความหงุดหงิดใจจากปัญหาเศรษฐกิจปากท้องที่ไม่ดีเอาไว้

แล้วไปแสดงพลังในวันที่ 23 ตุลาคม เพราะทุกเสียงที่ให้เราจะเปลี่ยนรัฐบาลนี้ให้เป็นเสียงข้างน้อย และจะทำให้ธนาธรกลับมาเป็นนายกฯ ได้” นายปิยบุตร แสงกนกกุล ชี้ถึงความสำคัญของการเลือกตั้งซ่อมนครปฐม

สะท้อนพรรคร่วมฝ่ายค้านต้องการให้การเลือกตั้งเขต 5 นครปฐม เป็นจุดเริ่ม “โดมิโน” สร้างแรงสะเทือนไปยังอีก 3 เขตเลือกตั้งซ่อมในอนาคต ซึ่งเจ้าของพื้นที่เดิมเป็นฝ่ายรัฐบาล 2 เขต ฝ่ายค้าน 1 เขต ได้แก่

เขต 2 จ.กำแพงเพชร จากกรณีนายไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ พรรคพลังประชารัฐ, เขต 5 สมุทรปราการ จากกรณีนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก พรรคพลังประชารัฐ และเขต 7 ขอนแก่น จากกรณีนายนวัธ เตาะเจริญสุข พรรคเพื่อไทย

หลายคนประเมินสถานการณ์เลือกตั้ง 23 ตุลาคม ด้วยความมุ่งมั่นของอนาคตใหม่ ที่ต้องรักษาฐานเสียงนี้ไว้เพื่อการเติบใหญ่ของพรรคอย่างมั่นคง บวกกับการที่เพื่อไทยหลีกทางไม่ส่งผู้สมัครลงตัดคะแนนกันเอง

คือ “จุดแข็ง” ช่วยให้พรรคฝ่ายค้านกำชัยสนามนี้ได้อีกครั้ง

ส่วนในแง่ที่ว่าจะเป็นโดมิโนความพ่ายแพ้ของพรรครัฐบาลไปยังอีก 3 เขต 3 จังหวัดต่อจากนี้ จนส่งผลให้ดุลการเมืองในสภาเปลี่ยนตามที่พรรคฝ่ายค้านคาดหวังไว้หรือไม่ ยังฟันธงตอนนี้ไม่ได้

ต้องประเมินอีกครั้งเมื่อการเลือกตั้งจริงใกล้มาถึง เนื่องจากความสลับซับซ้อนทางการเมืองแต่ละพื้นที่แต่ละเขตเลือกตั้งมีรายละเอียดแตกต่าง รวมถึงอารมณ์ร่วมของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและฝ่ายค้านในตอนนั้น

จะเป็นตัวแปรชี้ขาดสำคัญ

สำหรับสถานการณ์เขต 5 นครปฐม หากดูจากคะแนนเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม จะพบว่าคะแนนประชาธิปัตย์กับชาติไทยพัฒนา 2 พรรครวมกันยังได้ไม่เท่ากับของผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่

ปัจจัยแห่งชัยชนะครั้งนั้นของอนาคตใหม่มาจากหลายส่วน

ไม่ว่ากระแสคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบ “ธนาธร” การที่เพื่อไทยไม่ส่งผู้สมัครเนื่องจากตระกูล “สะสมทรัพย์” ย้ายออกไปอยู่ชาติไทยพัฒนา กระทั่งเมื่อไทยรักษาชาติที่เสมือนเป็นพรรคพี่-น้องกับเพื่อไทยโดน “ยุบ” คะแนนฝ่ายต่อต้านสืบทอดอำนาจ

จึงไหลมากองรวมที่อนาคตใหม่ กลายเป็นชัยชนะถล่มทลาย

ครั้งนี้ประชาธิปัตย์กับชาติไทยพัฒนาต่างคนต่างส่งผู้สมัครลงตัดคะแนนกันเอง

การไม่สนใจถึงการลงเรือแป๊ะลำเดียวกัน จึงมีเปอร์เซ็นต์สูงที่ทั้ง 2 พรรคจะประสบความพ่ายแพ้ซ้ำซาก ส่งผลต่อสถานการณ์การเมืองโดยรวม

ด้วยความที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะแพ้สนามนี้ไม่ได้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นหากดุลการเมืองในสภาเปลี่ยน การเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะทำให้อยู่ได้ลำบาก อยู่ได้ไม่นาน ต้องมีอันเป็นไปก่อนกำหนด

แต่เนื่องจากการเลือกตั้งซ่อมรายเขต การใช้อำนาจรัฐช่วยฝ่ายตนทำได้ยาก เนื่องจากตกเป็นเป้าสายตาคนทั่วทั้งประเทศ

ดังนั้น ไพ่ที่ถูกทิ้งลงมาเพื่อกอบกู้สถานการณ์รัฐบาล และส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อการเลือกตั้งซ่อมนครปฐม คือการมุ่งให้ร้ายนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อหาคนชังชาติ หมิ่นสถาบัน

ป้อนข้อมูลสังคมให้เข้าใจผิด ตั้งแต่เรื่องว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ต่างชาติ มาจนถึงภาพ “เงาปริศนา” คู่โจชัว หว่อง โยงใยอย่างสับสนเข้าหาระบอบคอมมิวนิสต์ สร้างวาทกรรม “ฮ่องเต้ซินโดรม” โจมตีพรรคการเมืองที่เสนอยกเลิกเกณฑ์ทหาร คัดค้านการจัดซื้ออาวุธว่า “หนักแผ่นดิน”

เป้าหมายการโจมตีคือใคร อยู่ที่พรรคการเมืองใด คนในสังคมรู้อยู่

การสร้าง “ศัตรูสมมุติ” ของฝ่ายสืบทอดอำนาจ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายกระแส “ธนาธร” และอนาคตใหม่ ได้ผลมากน้อยขนาดไหน ระยะยาวถึงขั้นโดนยุบพรรค ตัดสิทธิ์การเมืองหรือไม่ อย่างไร ต้องเฝ้าดูกันต่อไป

ขณะที่ผลเลือกตั้งซ่อมนครปฐม เขต 5 จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่ากระแสธนาธรและอนาคตใหม่ เริ่มแผ่วลงจากการเลือกตั้ง 24 มีนาคม แล้วหรือไม่

หรือยังคงรูปเป็น “ฝันร้าย” ของรัฐบาลชุดนี้อย่างแข็งแกร่งไม่แปรเปลี่ยน

จับตาหลังวันที่ 23 ตุลาคม ได้รู้กันแน่นอน