ในประเทศ / เล็งเป้า ‘งบทหาร’

ในประเทศ

 

เล็งเป้า

‘งบทหาร’

 

ความตึงเครียดระหว่างทหารกับฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะ 7 พรรคฝ่ายค้าน

นับตั้งแต่การที่กองทัพภาคที่ 4 ส่งตัวแทนในนามกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) แจ้งความจับแกนนำ 7 พรรคการเมืองและนักวิชาการ ผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 116 ฐานะยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ วุ่นวายในหมู่ประชาชน ในกรณีไปเสวนาทางการเมืองที่ จ.ปัตตานี โดยนักวิชาการที่ร่วมเสวนากับฝ่ายค้าน เสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 รวมถึงประเด็นที่นำไปสู่ความเข้าใจผิดอื่นๆ จึงเข้าแจ้งความดังกล่าว

จนทำให้ฝ่ายค้านแจ้งความกลับว่ากระทำมิชอบตามมาตรา 157 และมีเป้าหมายปิดปากฝ่ายค้าน

และยิ่งมาร้อนฉ่า เมื่อ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้บรรยายพิเศษ “แผ่นดินของเราในมุมมองความมั่นคง” ที่กองบัญชาการทหารบก กล่าวหาพรรคการเมือง ปลุกปั่น ล้างสมองคนรุ่นใหม่ โดยได้รับแนวความคิดจากคอมมิวนิสต์และจากต่างชาติ

ความตึงเครียดดังกล่าว

นำมาสู่ความคาดหมายว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 17 ตุลาคมนี้

จะเป็นสมรภูมิการเมืองเดือด โดยพรรคฝ่ายค้านจะเอาคืนกองทัพ ฝ่ายความมั่นคง และรัฐบาล

โดยวางเป้าหมายจะชำแหละงบประมาณกระทรวงกลาโหม และงบฯ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง หนักเป็นพิเศษ

 

ทั้งนี้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 มีวงเงินทั้งสิ้น 3,200,000 ล้านบาท

เพิ่มขึ้น 200,000 ล้านบาท จากงบฯ ปี 2562 ที่ 3,000,000 ล้านบาท

เป็นการตั้งงบฯ ขาดดุลบัญชี 469,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าปีก่อนที่ตั้งงบฯ ขาดดุล 450,000 ล้านบาท

สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัว

กระนั้น ในส่วนงบฯ กระทรวงกลาโหม ยังได้เพิ่ม 2.7% หรือคิดเป็น 233,353.4 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในเบื้องต้น ในส่วนของ “กระทรวงกลาโหม” ซึ่งมีหน่วยงานในกำกับ 6 หน่วยงาน ได้เสนอของบประมาณโดยเปรียบเทียบระหว่างงบประมาณปี 2562 กับการส่งคำของบประมาณปี 2563 จำนวน 233,353,433,300 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 6,226,867,000 บาท

แบ่งออกได้ดังนี้

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ส่งคำขอเพิ่มขึ้น 286,978,100 บาท

กองทัพบก ส่งคำขอเพิ่มขึ้น 2,300,531,300 บาท

กองทัพเรือ ส่งคำขอเพิ่มขึ้น 1,793,237,000 บาท

กองทัพอากาศ ส่งคำขอเพิ่มขึ้น 1,273,530,800 บาท

กองบัญชาการกองทัพไทย ส่งคำขอเพิ่มขึ้น 558,721,400 บาท

และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ส่งคำขอเพิ่มขึ้น 13,468,400 บาท

กองทัพบกเป็นหน่วยงานที่ส่งคำของบประมาณปี 2563 สูงสุด จำนวน 113,677,434,900 บาท เฉพาะงานพื้นฐานด้านความมั่นคง 1.5 หมื่นล้านบาท แผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศและความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ 3.2 หมื่นล้านบาท แผนงานบุคลากร 5.9 หมื่นล้านบาท

รองลงมา กองทัพเรือ 47,227,902,200 บาท

และกองทัพอากาศ 42,882,834,500 บาท ตามลำดับ

ส่วน “สำนักนายกรัฐมนตรี” ที่เป็นต้นสังกัดของ “กอ.รมน.” ส่งคำขอมากสุด 1 หมื่นล้าน

ยังพบว่ารัฐบาลได้ตั้งงบฯ กลางสูงถึง 518,770.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 16.2% ของงบประมาณรวมทั้งหมด

ในจำนวนนั้นเป็นงบฯ แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 10,865.5 ล้านบาท

รวมทั้งรัฐบาลเตรียมจัดสรรงบประมาณให้ส่วนราชการในพระองค์ 7,685.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13%

โดยสรุป งบฯ  ปี 2563 ในส่วนของความมั่นคง ทั้งในกระทรวงกลาโหม งบฯ กลาง ล้วนแต่เพิ่มขึ้น

กล่าวคือ

งบฯ กลาง 518,770.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47,238.9 ล้านบาท

กระทรวงกลาโหม 233,353.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,226.8 ล้านบาท

ขณะที่กระทรวงสำคัญอื่นๆ กลับลดลง เช่น

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 6,071.3 ล้านบาท ลดลง 428 ล้านบาท

กระทรวงคมนาคม 178,840.1 ล้านบาท ลดลง 758.5 ล้านบาท

กระทรวงศึกษาธิการ 368,660.3 ล้านบาท ลดลง 386.8 ล้านบาท

ส่วนกระทรวงสาธารณสุขได้รับงบฯ น้อยกว่ากระทรวงกลาโหม โดยได้งบฯ 138,735.3 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นน้อยกว่างานมั่นคง โดยได้เพิ่ม 3,346.6 ล้านบาท

 

ตัวเลขที่งบฯ ทหารและงบฯ ความมั่นคง ได้มากและได้เพิ่มนี้เอง

ทำให้เป็นเป้าหมายที่พรรคฝ่ายค้านจะหยิบขึ้นมาโจมตี

อย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า วันนี้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ 4 ตัวคือ การส่งออก การท่องเที่ยว กำลังซื้อในประเทศ และเงินลงทุนใหม่ ล้วนชะลอตัว ดับเกือบหมด

เหลือแต่การใช้จ่ายในภาครัฐที่มีความสำคัญ

งบประมาณรายจ่าย 2563 ที่จะนำไปใช้ควรนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

แต่เมื่อดูในรายละเอียดพบกระทรวงด้านความมั่นคง มีการตั้งงบประมาณไว้สูงมาก เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม เพิ่มขึ้นมาโดยไม่มีความจำเป็น

เช่นเดียวกับการตั้งงบฯ กลางไว้สูงถึง 5 แสนล้านบาท ที่เปรียบเหมือนการตีเช็คเปล่า

และถูกเอาไปใช้ในสิ่งที่ไม่สมควร

เช่น นำไปซื้อรถถัง ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชน

ขณะที่งบประมาณรายจ่ายปี 2563 ที่ตั้งไว้ 3.2 ล้านล้านบาท กลับพบว่าตั้งงบฯ ลงทุนเอาไว้เพียง 20% น้อยกว่าปีก่อนที่ตั้งไว้ 21% เมื่องบฯ ที่จะนำไปลงทุนลดลง คงทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อย

 

ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า จะต้อง “ปฏิรูป กอ.รมน.” ที่ใช้งบประมาณแต่ละปีสูง แต่กลับมีกรอบความคิดที่มองประชาชนเป็นศัตรู

นายธนาธรชี้ว่า แม้ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) หายไปแล้วหลังการเลือกตั้ง

แต่วันนี้ยังแฝงตัวอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ บางส่วนแฝงอยู่ใน กอ.รมน. รูปแบบใหม่ที่มีเงินและมีอำนาจเพิ่มขึ้น

กอ.รมน.ในช่วง 5 ปีหลังรัฐประหารปี 2557 ถูกวิจารณ์ว่าเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ของรัฐบาล คสช.

โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ขยายอำนาจและบทบาทของ กอ.รมน.อย่างกว้างขวาง ภายใต้คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 51/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อรองรับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ซึ่งในวันนี้ยังคงอยู่ ไม่ได้ถูกยกเลิกเหมือนคำสั่งอื่นๆ

กอ.รมน.สามารถเข้าควบคุมงานความมั่นคงของประเทศทั้งระบบ

จนเกิดสภาวะ “รัฐซ้อนรัฐ” รับผิดชอบ 6 งานสำคัญ

1) รับผิดชอบด้านยาเสพติด

2) แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

3) การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ

4) ด้านความมั่นคงพิเศษ อาทิ ชาวม้งลาว, การค้ามนุษย์, การฟอกเงิน, บุกรุกป่าไม้, ภัยพิบัติระดับชาติ ฯลฯ

5) ด้านความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ คือจังหวัดชายแดนภาคใต้

6) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและการส่งเสริมสถาบัน

ภายใต้กลไก กอ.รมน.ภาค 1-4, กอ.รมน.จังหวัด และ กอ.รมน.กทม. และศูนย์อำนวยการหรือหน่วยงานอื่นๆ

จะเห็นว่าครอบคลุมทุกด้าน

และเริ่มแสดงฤทธิ์เดชในกรณีไปแจ้งความจับแกนนำพรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการ

 

จึงทำให้เกิดถามอย่างที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ถาม

นั่นคือ ที่จริง กอ.รมน.ถูกยุบไปนานแล้ว แต่หลังมีการปฏิวัติเมื่อปี 2549 ทำให้มี กอ.รมน.กลับมาอีกครั้ง

ในปี 2551 จะพบว่า กอ.รมน.มีงบประมาณซ่อนไว้ในสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ปีนี้การจัดงบประมาณงบฯ บุคลากรถูกแยก เหลือเงิน กอ.รมน.อยู่ 6,000 กว่าล้าน

โดยมีผู้ใช้งบฯ ก้อนนี้คือนายกรัฐมนตรี ทำให้ความมั่นคงอยู่เหนือกว่ารัฐธรรมนูญ อย่างที่ กอ.รมน.ไปแจ้งความ 7 พรรคฝ่ายค้านที่ภาคใต้

น่าสังเกตว่า พนักงานสอบสวนถูกบรรจุเป็นกำลังพลของ กอ.รมน.ทั้งที่พนักงานสอบสวนที่รับแจ้งความต้องพิจารณาตามพยานหลักฐาน แต่เมื่อ กอ.รมน.ไปแจ้งความกับลูกน้องของตนเอง ความยุติธรรมก็จะไม่บังเกิด ดังนั้น กอ.รมน.ต้องปฏิรูปให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม

“ต้องปรับแก้ให้เป็นความมั่นคงของราษฎร ไม่ใช่ความมั่นคงเพื่อสืบทอดอำนาจของผู้อยู่ในตำแหน่ง ดังนั้น งบประมาณ 6,000 ล้านบาท ไม่ได้ช่วยให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข แต่กลับเพิ่มความหวาดระแวงให้ประชาชนและประชาธิปไตย” พ.ต.อ.ทวีระบุ และว่า คงจะมีการนำเรื่องดังกล่าวไปอภิปรายในสภาแน่

ขณะที่นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย กล่าวว่า จากการศึกษาหาข้อมูลงบฯ กระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งแต่ปี 2558, 2559, 2560, 2561, 2562 และปี 2563 จะเพิ่มขึ้นอีก ปี 2558 ประมาณ 190,000 ล้านบาท ปี 2563 นี้ประมาณ 230,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 50,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับการทหาร มีการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้

ที่ผ่านมากองทัพนำเงินส่วนนี้ไปซื้อสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นเรือดำน้ำ รถถัง

สำหรับงบประมาณกระทรวงกลาโหมตั้งแต่ปี 2557-2562 มีดังนี้ ปี 2557 ได้รับงบประมาณ 183,819 ล้านบาท ปี 2558 ได้รับงบประมาณ 192,949 ล้านบาท ปี 2559 ได้รับงบประมาณ 206,461 ล้านบาท ปี 2560 ได้รับงบประมาณ 213,544 ล้านบาท ปี 2561 ได้รับงบประมาณ 218,503 ล้านบาท และปี 2562 ได้รับงบประมาณ 227,126 ล้านบาท

ตัวเลขเพิ่มขึ้นตลอด

ส่วนนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า พล.อ.อภิรัชต์อาจจะไม่เข้าใจว่าในทุกประเทศที่ภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ รัฐบาลในประเทศนั้นๆ ควรจะต้องพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมเพื่อนำเงินไปฟื้นฟูเศรษฐกิจและช่วยเหลือความเป็นอยู่ของประชาชน

การเสนอลดงบฯ ทหาร และลดการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ ลดการเกณฑ์ทหาร เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือปากท้องของประชาชน เป็นหลักการปฏิบัติที่ทั่วโลกยอมรับ

ไม่ได้แปลว่าไม่ได้รักชาติ หรือเกลียดกองทัพ ซึ่งตรงกันข้าม กลับยิ่งจะมีความรักชาติ รักประชาชน ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้นำทางทหาร

ทั้งนี้ ผู้นำกองทัพที่ดี ต้องเห็นประโยชน์และความสุขของประชาชนมากกว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ

 

ซึ่งนี่คือตัวอย่าง

ที่พรรคฝ่ายค้านเล็งเป้าและจะมอบภารกิจให้ผู้แทนฝ่ายค้านในสภา ไปกระหน่ำยิงฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายความมั่นคงในสภา

ที่คาดหมายว่าจะดุเดือด

ไม่ต่างจากการซักฟอกเท่าใดนัก