มุกดา สุวรรณชาติ : ใช้แผนเก่า…ยุบพรรค ตัดกำลัง ดึง ส.ส. ย้ายฝั่งหนุนรัฐบาล

มุกดา สุวรรณชาติ

ยึดอำนาจ ยุบพรรค ยังไม่ชนะ

หลังการรัฐประหารรัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ปี 2549 กลุ่มอำนาจเก่ารู้ว่าไม่มีใครยอมรับรัฐบาลจากการรัฐประหาร จำเป็นต้องจัดเลือกตั้ง แล้วแปลงกาย ใส่เสื้อคลุมประชาธิปไตย

งานนี้เดินตามแผนบันได 5 ขั้นคือ

ขั้นที่ 1 รัฐประหารโค่นทักษิณยึดอำนาจรัฐไว้ ผลักดันทักษิณให้ออกนอกประเทศ

ขั้นที่ 2 ยึดทรัพย์ทักษิณเพื่อตัดกำลังเงินและดำเนินคดีเพื่อไม่ให้ทักษิณกลับมาเล่นการเมือง

ขั้นที่ 3 ยุบพรรคไทยรักไทย ห้ามกรรมการบริหารและนักการเมืองเล่นการเมือง 5 ปี เพื่อตัดกำลังคน และสลายองค์กร รอรับนักการเมืองที่เปลี่ยนขั้ว

ขั้นที่ 4 ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เลือกตั้งใหม่เพื่อให้ได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง ที่เป็นฝ่ายคณะรัฐประหารหลังรัฐประหาร 2549 คณะรัฐประหารก็ยัดเยียดฉบับ 2550 มาให้ใช้ เพราะมีเป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มอำนาจเก่าแปลงกายเตรียมสืบทอดอำนาจแม้คณะรัฐประหารจะสลายตัวลงไปแล้ว

รธน.ให้อำนาจการแต่งตั้งองค์กรอิสระ อยู่ที่…วุฒิสภา+ตุลาการกลุ่มหนึ่ง

ขั้นที่ 5 จัดเลือกตั้งอย่างได้เปรียบเพื่อเอาชนะ และแปลงกายเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง

ก่อนมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบไป เปลี่ยนชื่อเป็นพลังประชาชน แต่กลุ่มอำนาจเก่า วางแผนเอาชนะเลือกตั้งไว้แล้ว โดยเลือก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นตัวชน เพราะมีคะแนนเสียงดีที่สุดและให้กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองเป็นตัวช่วย

แผนตัดกำลังคนสำเร็จ… ศาลสั่งยุบพรรคไทยรักไทย ตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการ 5 ปี ตัวเก่งหายไปทีเดียว 111 คน ตัดเสบียงโดยตั้งกรรมการสอบแกนนำพรรคที่จะเป็นผู้อุปถัมภ์รายใหญ่เพื่อตัดการสนับสนุนของท่อน้ำเลี้ยง

ตั้งกรรมการที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งทุกระดับ

ตามแผนที่วางไว้ คู่ต่อสู้ก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า

แต่ไทยรักไทยที่แปลงร่างเป็นพลังประชาชน ก็ยังได้ 233 เสียง ชนะประชาธิปัตย์ที่ทำได้เพียง 165 เสียง พลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาล

แผนเอาชนะด้วยการเลือกตั้งก็พังพินาศลง อำนาจรัฐหลุดมือไปอีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆ ที่อุตส่าห์เหนื่อยยาก ใช้ม็อบกดดันมาเป็นปีและยอมให้คนด่าทั้งบ้านทั้งเมือง โดยใช้ปืนและศาล แต่ก็มาจบลงด้วยการแพ้เลือกตั้ง ทั้งๆ ที่วางแผนไว้อย่างดีเยี่ยม

ประชาชน…นี่ดื้อจริงๆ บอกไม่ให้เลือกก็จะเลือก

พรรคพลังประชาชนแม้เสียงได้ 233 ไม่ถึงครึ่งสภา แต่ห่างจาก ปชป.ที่ได้ 165 อยู่มาก เมื่อพลังประชาชนรวมกับพรรคเล็กก็เกินครึ่ง จึงสามารถตั้งรัฐบาลได้ไม่ยาก

 

ตุลาการภิวัฒน์
ภาพดีกว่าการรัฐประหาร
และยุบพรรคซ้ำอีก

ลงทุนรัฐประหารไปแล้ว ทำประเทศถอยหลังไป 3 ก้าว กลุ่มอำนาจเก่าจำต้องดันทุรังเดินหน้าต่อไป ขืนจบแบบนี้กลัวโดนคิดบัญชี การชิงอำนาจซ้ำสองจึงต้องเกิดขึ้น แต่จะทำรัฐประหารปีเว้นปีก็น่าเกลียด งานนี้จึงต้องใช้แผนตุลาการภิวัฒน์

เริ่มจากการใช้กลุ่มมวลชนจัดตั้งชุมนุมไล่ 2 รัฐบาล

เดือนพฤษภาคม 2551 นายกฯ สมัคร สุนทรเวช รับตำแหน่งได้เพียงสามเดือนก็มีข่าวรัฐประหารแว่วเข้ามา แต่ทหารบางส่วนก็ไม่เล่นด้วย แผนการนี้จึงยุติลง ม็อบพันธมิตรเสื้อเหลืองปิดถนนและไปยึดทำเนียบ แต่รัฐบาลสมัครไม่ยอมใช้กำลังเข้าปราบ เพราะรู้ทันว่าถ้าเกิดเหตุรุนแรง ทหารออกมาแน่

การนิ่งของสมัครทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องหันไปใช้ตุลาการภิวัฒน์ ตัดสินให้หลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะสอนทำอาหารทางโทรทัศน์

พรรคพลังประชาชนไม่ยอมแพ้ ตั้งสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ ต่อจากสมัคร ม็อบพันธมิตรเสื้อเหลืองส่งคนเข้าปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้แถลงนโยบาย บุกเข้ายึดสนามบิน และศาลก็สั่งยุบพรรคพลังประชาชน, พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย กรรมการพรรคทั้งสามพรรค 109 คนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองห้าปี นายกฯ สมชายก็หลุดจากตำแหน่ง

กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองประกาศชัยชนะถอนตัวออกจากสนามบิน ท่ามกลางเสียงสาปแช่งทั่วประเทศ

 

ตกลงกันในค่ายทหาร แต่ตั้งรัฐบาลในสภา

กลุ่มอำนาจเก่ารุกตลอดทุกแนวรบ ใช้ทั้งม็อบ ปืน ศาล สภา สองรอบ ก็ยังไม่บรรลุเป้าหมาย ตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ เพราะถ้าจะเป็นรัฐบาลต้องมีเสียงเกินครึ่งสภาผู้แทนฯ พอสมควร

การยุบ 3 พรรค ให้ ส.ส.หลุดจากสังกัดเก่า แล้วดึงไปหนุนรัฐบาลใหม่ จึงเป็นวิธีการมาตรฐาน

เมื่องูเห่าไม่ออกจากรู ก็ขุดรูล้วงจับงู

ทันทีที่นายกฯ สมชายหลุดจากตำแหน่ง ฝ่ายอำนาจเก่าก็ดูด ส.ส.ของพลังประชาชน และฉุดลากเอาพรรคร่วมรัฐบาลเดิมให้ย้ายมาอยู่กับ ปชป. งานนี้ว่ากันว่าทั้งขู่ทั้งปลอบ แจกกระทรวงแบบไม่อั้น

ในที่สุดพวกเขาก็ได้กลุ่ม ส.ส.ที่แตกออกไป ยอมย้ายข้าง เช่น กลุ่มเนวิน และกลุ่มอื่นๆ พรรคพลังประชาชนที่เปลี่ยนเป็นเพื่อไทย ส.ส.หายไป 55 คน พรรคเพื่อแผ่นดินก็แตก ทำให้ ปชป.ตั้งรัฐบาลได้

15 ธันวาคม พ.ศ.2551 มี ส.ส.ประชุมเลือกนายกฯ จำนวน 437 คน จากจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่ 438 คน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป.ได้ 235 และ พล.ต.อ ประชา พรหมนอก ว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ 198 เสียง

ในที่สุด ปชป.ก็ได้เป็นรัฐบาลผสมพันธุ์ใหม่ในค่ายทหาร แต่คลอดในสภา สื่อมวลชนตั้งฉายาว่ารัฐบาล “เทพประทาน” ประเทศไทยได้นายกฯ ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในต้นปี 2552

พอเมษายน-พฤษภาคม 2553 ก็เกิดการประท้วงของคนเสื้อแดง ที่ไม่ยอมรับรัฐบาลใหม่ แต่ถูกปราบด้วยกำลังอาวุธ มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก และมีเลือกตั้งใหม่ในปี 2554 พรรคเพื่อไทยชนะ เสียง 265 เกินครึ่งสภา แสดงว่าการยุบพรรคไม่มีผลให้กลุ่มอำนาจเก่าเสียงดีขึ้น

สุดท้ายก็ต้องใช้ม็อบ กปปส. ตุลาการภิวัฒน์ รัฐประหาร 2557 ล้มรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

นับเป็นการยึดอำนาจถึง 3 รอบในเกือบ 8 ปี

จากนั้นก็เข้าสู่วงจรอุบาทว์แบบเดิม ปกครองไป ร่างรัฐธรรมนูญไป ได้รัฐธรรมนูญ 2560 ให้ ส.ว.แต่งตั้ง 250 คนเลือกนายกฯ ได้ และเลือกตั้งด้วยวิธีใหม่

 

สถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ถูกล้มได้ตลอด

การเลือกตั้ง 2562 แม้พรรคเพื่อไทยจะได้ที่ 1 แต่มีเสียงแค่ 136 แนวร่วม 7 พรรค ที่เรียกตนเองว่า “ฝั่งประชาธิปไตย” ยังมีพรรคอนาคตใหม่ 81 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 10 เสียง พรรคประชาชาติ 7 เสียง พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 เสียง พรรคเพื่อชาติ 5 เสียง และพรรคพลังปวงชนไทย 1 เสียง รวม 246 เสียง

พรรคพลังประชารัฐ แม้ได้ที่ 2 แต่รวมเสียงได้ 254 จากพรรคตัวเอง 116 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 53 เสียง พรรคภูมิใจไทย 51 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรครวมพลังประชาชาติไทย 5 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคพลังท้องถิ่นไท 3 เสียง พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 เสียง พรรคประชาชนปฏิรูป 1 เสียง และพรรคเล็กรวม 10 เสียง

นายกฯ ประยุทธ์จึงจัดตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งกำลังถูกรุกโดยฝ่ายค้าน ถูกบีบโดยพวกเดียวกันเอง ตอนนี้ก็มีคนไม่พอใจเรื่องตำแหน่ง แยกเป็น อิสระ 2-3 เสียง

ความมั่นคงทางการเมืองเป็นเส้นบางมาก…เกินครึ่งเพียง 2-3 เสียง

ที่สำคัญ ประธานสภายังเป็นชวน หลีกภัย จาก ปชป. ซึ่งมีวิธีชี้เป็นชี้ตายได้ พลังประชารัฐแย่งเสียง ปชป.มามากถึง 6 ล้านเสียง ปชป.ต้องหัก พปชร.ดึงคะแนนคืนแน่นอน แต่จะดึงอย่างไร? เมื่อไร?

พปชร.จำเป็นต้องเสริมความมั่นคงทางการเมืองโดยพลัน เพื่อตอบโต้การต่อรอง

 

แผนเก่า หางูเห่ามาเสริมกำลัง
ให้ได้ 264 ต่อ 236 เสียง
พรรคเศรษฐกิจใหม่และอนาคตใหม่
คือเป้าหมาย

ทางรอดของกลุ่มอำนาจเก่าที่จะหนุนรัฐตัวแทน คือ เพิ่มเสียงหนุนรัฐบาล และลดเสียงฝ่ายค้านลง ตอนนี้มีเสียงลือว่าพรรคเศรษฐกิจใหม่คือเป้าหมาย แต่น่าจะได้ไม่เกิน 4 ที่ต้องการคือ 10 เพราะจะทำให้มีเสียง +10 ในขณะที่ฝ่ายตรงข้าม -10 ความห่างเวลาโหวตคะแนนจะเป็น 20 เสียง ไม่ต้องลุ้นมาก

จะเอาจากไหน?… พรรคอนาคตใหม่กำลังมีปัญหา เข้าทางพอดี แต่การจะไปดึงคนจากพรรคแนวอุดมการณ์ ไม่ง่าย ตอนนี้มีคนคาดว่าคงใช้แผนปี 2551 คือยุบพรรค

ข้อกล่าวหาที่ว่าพรรคอนาคตใหม่มีความเชื่อมโยงกับองค์กรลับ “อิลลูมินาติ” ล้มล้างการปกครอง เป็นเรื่องตลกแบบนิยาย คงไม่อาจยุบพรรคได้ ส่วนคำร้องเรื่องธนาธรถือหุ้นสื่อ ถ้าจะเอาผิดก็แค่ตัวธนาธร แต่จะลามไปยัง ส.ส ทุกพรรค

เหลือเพียงข้อกล่าวหาว่าพรรคกู้ยืมเงินธนาธร ถ้าเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ ต้องมีการตีความมาตรา 62 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ว่าทำได้หรือไม่

ใครเป็นคนตีความ

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าผิด ถึงขั้นยุบพรรค ส.ส.ก็ต้องหาพรรคใหม่สังกัด

อนาคตใหม่สามารถแก้เกมแบบไทยรักไทย คือหาพรรคใหม่รอไว้ เชื่อว่ามวลชนไม่หนีไปไหน เพราะอยู่กันด้วยศรัทธาอยู่แล้ว แต่ ส.ส. คือจุดอ่อน และเป้าหมายการโจมตี ใน 81 คนจะแข็งแกร่งทั้งหมดหรือไม่

ไม่ว่าเกมนี้จะมาแบบไหน อนาคตใหม่สู้ได้แน่นอน แต่ต้องยืนหยัดฝ่าฟันยิ่งกว่าวิ่ง 120 กิโลเมตร เพราะการต่อสู้แบบนี้ไม่มีสิ้นสุด ดังนั้น จึงต้อง…

เร่งลงสู่ท้องถิ่นทั้งสร้างฐานและขยายการปกครองส่วนท้องถิ่นตามนโยบายให้กว้างขวางขึ้น

เร่งเสริม เพิ่ม และยกระดับแกนนำ ให้มีจำนวนมากขึ้น ยกคุณภาพสมาชิก

ชูความสามัคคี ให้กำลังใจ คนทำงานทุกระดับ มวลชนกองเชียร์ มาด้วยใจกันอยู่แล้ว เขามาไม่ใช่เพราะพรรคแจกวัตถุเงินทอง แต่มาเพราะอยากมีอนาคตใหม่

ความสามัคคีของแนวร่วม 7 พรรคยิ่งมีความสำคัญ

ที่เล่าเรื่องเก่าเพื่อจะบอกว่า…กลุ่มอำนาจเก่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ ใช้เวลา 13 ปี ต้องรัฐประหาร 2 ครั้ง ก่อความวุ่นวายทั่วเมืองตุลาการภิวัฒน์ นับครั้งไม่ถ้วน ผู้ต่อต้านถูกจับขังมากมาย ถูกปราบ ตายเป็นร้อย มีอะไรที่ไม่กล้าทำ ดังนั้น เรื่องที่จะเสริมความมั่นคงทางการเมือง ให้ได้ปกครองต่อได้ ไม่ว่าเรื่องใหญ่ เรื่องเล็ก เขาทำแน่ ฝ่ายที่แก้…ต้องทันเกม