ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 มิถุนายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
เมืองในหมอก (9)
ผู้คนนั้นรักที่จะเห็นการกินอาหาร ผู้คนนั้นรักที่จะเห็นการดื่มกิน ร้านอาหาร บาร์ ร้านกาแฟ คือสถานที่ที่ผู้คนเลือกไปในเวลาที่พวกเขานึกถึงสถานที่อื่นไม่ได้
โลกที่มีคนอื่นกระทำในสิ่งที่เรากระทำเป็นโลกที่ทำให้เรามีความหวัง
พวกเขาเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเรา หิว เหนื่อยหน่าย อ่อนล้า และปรารถนาการสัมผัสเช่นเดียวกับเรา พวกเขาเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอเช่นเดียวกับเรา
นายหมอกสีเทาจิบกาแฟแก้วแรก เป็นแก้วแรกในรอบเวลาหลายปีที่เขาดื่มกาแฟ เป็นแก้วแรกในรอบเวลาหลายปีที่เขาเริ่มต้นเช้าวันใหม่ในที่สาธารณะแทนที่จะเป็นที่ทำงานของเขา
ในช่วงเวลาที่เขาทำงานในโรงงานเก็บขยะ เขาเริ่มต้นเช้าวันใหม่ท่ามกลางกลิ่นอันหลากหลายของขยะ
ในช่วงเวลาที่เขาทำงานที่โรงงานผลิตหน้ากากป้องกันมลพิษ เขาเริ่มต้นเช้าวันใหม่ท่ามกลางเสียงเครื่องจักรกลและเสียงสายพานการผลิต นี่เป็นวันแรกในรอบปี ในรอบหลายปี ที่เขาเริ่มต้นเช้าวันใหม่ในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคยพร้อมกับใช้สายตาจับจ้องไปที่คนที่ไม่คุ้นเคย
หญิงสาวผู้นั้นมีทีท่าผ่อนคลาย ในพื้นที่สาธารณะเหล่านี้ ผู้คนสามารถผ่อนคลายด้วยการปล่อยวางหน้ากากบนใบหน้าลงได้ ในทุกที่ ทั้งที่โรงภาพยนตร์และร้านกาแฟแบบนี้ รัฐจะสนับสนุนเครื่องฟอกอากาศอย่างเต็มที่จนคุณสามารถหายใจอย่างเป็นปกติ
แต่กระนั้นก็ยังมีผู้คนที่กล้าเสี่ยงกับการมายังสถานที่เหล่านี้น้อยเต็มที
พวกเขาอาจมั่นใจในความปลอดภัย
พวกเขาอาจมั่นใจในเครื่องฟอกอากาศและมาตรฐานต่างๆ
แต่พวกเขาไม่อยากพบปะกับผู้คนอื่น หลังการมาถึงของหมอกควันสีเทา ผู้คนในเมืองนี้ได้สูญสิ้นซึ่งมิตรภาพ บทสนทนากับคนแปลกหน้ามีน้อยเต็มที การพบปะกับคนที่ไม่คุ้นเคยน้อยลงเต็มที
ทุกคนหมกมุ่นกับตนเองราวกับมนุษย์ถ้ำที่เฝ้ารอแสงตะวันในยามเช้า เพียงแต่สิ่งที่เขารอไม่ใช่แสงตะวัน หากแต่เป็นอากาศบริสุทธิ์ที่จนบัดนี้ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีวันมาถึง
การละทิ้งซึ่งสัมผัสทำให้ผู้คนหลายคนในเมืองสูญเสียการแบ่งแยกตนเองจากสิ่งต่างๆ เพศชายไม่ต่างจากเพศหญิง
วัยเด็กไม่ต่างจากวัยชรา
พืชไม่ต่างจากสัตว์ และสัตว์แทบไม่ต่างจากมนุษย์
เราทุกคนล้วนตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ทุกคำตอบของปัญหาจบลงตรงที่ความหมายแบบนี้หรือประโยคแบบนี้ ยิ่งอาการเจ็บป่วยจากการหายใจไม่อาจรักษาได้
ยิ่งผู้คนที่เจ็บป่วยจากการหายใจมากเพียงใด ความสิ้นหวังก็มีมากขึ้นเพียงนั้น
นายหมอกสีเทามองไปรอบๆ ร้านกาแฟแห่งนั้น นอกจากหญิงสาวผู้นั้นแล้ว ที่มุมหนึ่งของร้านมีชายชราคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ หน้าปกของหนังสือไม่มีชื่อมีแต่เพียงตัวเลข เขาคิดว่าชายชราผู้นั้นกำลังอ่านตำราคณิตศาสตร์อยู่เป็นแน่
ในเวลาเหล่านี้อาจมีบางคนที่สนใจกับการบริหารสมอง อาจมีบางคนต้องการขบคิดถึงปริศนาบางอย่างก่อนที่หายนภัยจะมาเยือน
อีกมุมหนึ่งมีแม่กับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อาจดูน่าตกใจที่พบเด็กในร้านแห่งนี้ แต่นายหมอกสีเทาเข้าใจในสิ่งนี้ แม่ของเด็กผู้ชายคงไม่ต้องการให้ลูกของตนเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีโรงเรียนอีกแล้วในเมืองนี้ ไม่มีสนามเด็กเล่น และถึงแม้ว่าจะมีสนามเด็กเล่นแต่ก็ไม่มีเด็กๆ ทั้งหลายที่นั่นอยู่ดี
เด็กเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่หายไปจากเมือง เมื่อไม่มีงานการต้องทำ เมื่อไม่มีสังคมที่ต้องพบปะสังสรรค์ เด็กทั้งหลายจึงถูกขังไว้แต่ในบ้าน ในพื้นที่ของครอบครัว พวกเขานั่งมองหมอกสีเทาที่ปกคลุมเมืองตั้งแต่เช้าจรดเย็นก่อนจะหลับไปในเวลาค่ำ
หลังจากนั้นพวกเขาจะหลับและตื่นมาพบในสิ่งที่เป็นเช่นเดียวกันทุกวัน
แม่ของเด็กคนนี้คงไม่อาจทนในสิ่งเหล่านี้ได้ พาลูกฉันไปพบผู้คน ไปพบการอุ้ม การทักทาย ไปพบการสัมผัส แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาจบชีวิตลงเร็วกว่าเดิมก็ตามที
ภายในบาร์กาแฟมีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เขาไว้เคราสีเงิน มือของเขาสาละวนกับการเช็ดแก้วกาแฟ หลังจากนั้นเขาวุ่นกับการบดกาแฟ หลังจากนั้นอีกเขาวุ่นกับการชงกาแฟ เสิร์ฟกาแฟ ล้างแก้วกาแฟ เช็ดแก้วกาแฟ บดกาแฟ
ทุกอย่างในบาร์นั้นดำเนินไปอย่างเป็นจังหวะจะโคน
ทุกอย่างในบาร์นั้นดำเนินไปอย่างปกติราวกับในเมืองนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ราวกับในเมืองนี้ไม่เคยถูกปกคลุมด้วยหมอกควันสีเทา
ความคิดคำนึงหลายอย่างเกิดกับนายหมอกสีเทา อย่างแรกคือการทำตัวตามปกติคือการต่อสู้ภัยพิบัติที่ถูกต้องที่สุด คือการต่อสู้ภัยพิบัติที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะมีความน่าหวาดหวั่นเช่นไร การตั้งมั่นอยู่อย่างสงบคือการทำให้หายนภัยเป็นเพียงสิ่งที่ดำรงอยู่ภายนอกตัวเรา ไม่มีผลเช่นใดต่อเราได้
อีกความคิดคำนึงคือหายนภัยทำให้คนเท่าเทียมกัน เป็นสิ่งที่ชัดเจนง่ายกว่ากระบวนการทางการเมือง ดังมีคำกล่าวว่าความตายและภาษีทำให้คนเท่าเทียมกัน ภัยพิบัติก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง เพียงแต่ภัยพิบัติทำให้เราทุกคนเท่าเทียมในฐานะของความสิ้นหวัง แต่ประชาธิปไตยหรือการปกครองแบบมีส่วนร่วมทำให้เราทุกคนเท่าเทียมกันอย่างมีความหวัง
หลังจากเพลิดเพลินกับความคิดดังกล่าว นายหมอกสีเทาจึงพบว่าหญิงสาวผู้นั้นกำลังจ้องมองมาทางเขา
นายหมอกสีเทารู้สึกประหวั่น เป็นไปได้ไหมว่าเธอรู้แล้วว่าเขาคือบุคคลที่ติดตามเธอมา จากท้องถนนสู่สวนสัตว์จนถึงร้านกาแฟแห่งนี้
เขาประหวั่นใจว่าเธออาจรู้สึกว่าเขาเป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาและความต้องการที่จะผูกมิตรกับเธอจะจบสิ้นลง
แต่ไม่ใช่ ดวงตาของหญิงสาวผู้นั้นหลังจากเหลือบมองนายหมอกสีเทา มันก็เคลื่อนย้ายไปที่พื้นที่บาร์ ไปยังชายผู้ทำหน้าที่ชงกาแฟที่อยู่ด้านหลังของบาร์ ไปยังมุมห้อง ไปยังชายชราที่อ่านหนังสือที่หน้าปกเป็นตัวเลข ไปยังมุมห้องที่แม่และเด็กกำลังหยอกล้อกัน
แท้จริงแล้วเธอกำลังสำรวจความเป็นไปในร้านแห่งนี้ไม่ต่างจากเขา เธอกำลังเฝ้ามองร้านแห่งนี้ด้วยอาการครุ่นคิดไม่ต่างจากเขา
แต่นอกเหนือจากการเฝ้ามอง หญิงสาวผู้นั้นกลับทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง เธอลุกออกจากที่นั่งของเธอ ผ่านนักดื่มจำนวนมากที่นั่งอยู่ที่โต๊ะต่างๆ และหน้าบาร์ ตรงไปยังมุมห้อง เธอนั่งลงตรงข้ามกับชายชราผู้นั้นและเริ่มต้นการสนทนา
นายหมอกสีเทาพยายามคาดเดาว่าทั้งหญิงสาวผู้นั้นและชายชราผู้นั้น ทั้งคู่ได้รู้จักกันมาก่อนหรือไม่
แต่หลังจากที่ทั้งคู่สนทนากันไปสักครู่ นายหมอกสีเทาก็แน่ใจว่าทั้งคู่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน หญิงสาวดูจะเริ่มการสนทนาด้วยการแนะนำตัว ชายชราตอบรับก่อนจะเริ่มการสนทนา
บทสนทนาของทั้งคู่ดูเต็มไปด้วยความร่าเริงลื่นไหล หญิงสาวผู้นั้นหัวเราะเป็นบางครั้ง ในขณะที่ชายชราผู้นั้นยิ้มออกมาในบางขณะ
นายหมอกสีเทาไม่ได้พบเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาเนิ่นนานแล้ว รอยยิ้มคือสิ่งแรกที่แสดงว่ามนุษย์มีการสัมผัสซึ่งกันและกัน
หญิงสาวผู้นั้นลุกออกจากโต๊ะอีกครั้ง เธอตรงมาที่บาร์กาแฟ สั่งกาแฟร้อนสองแก้ว เธอตัดสินใจแล้วว่าเนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกที่เธอรู้สึกหายใจได้อย่างบริสุทธิ์ เธอจึงจะไม่ไปยังสถานที่ทำงานของเธอ
ในวันนี้เธอตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เวลาตลอดวันทำในสิ่งที่เธอไม่เคยทำหรือไม่ได้ทำมาเนิ่นนานแล้ว
เมื่อเช้านี้เธอได้ไปยังสวนสัตว์เพื่อรำลึกถึงอดีตในวัยเยาว์
ในตอนนี้เธอจะเริ่มการสนทนากับผู้คนเพื่อรำลึกถึงอดีตก่อนที่หมอกควันสีเทาจะปกคลุมเมือง
เธอกล่าวกับชายชราผู้นั้นว่าเธอขอเป็นคนออกค่ากาแฟแก้วถัดไปให้เขา
หลังจากที่เขาเล่าว่าเขาจะใช้เวลาอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งนี้ตลอดวัน เขามาที่ร้านกาแฟแห่งนี้เป็นคนแรก เมื่อเปิดประตูเข้ามา ชายผู้อยู่ที่หลังบาร์แทบจะคาดเดาได้เลยว่าเป็นเขาเอง และเขาจะกลับจากบาร์แห่งนี้เป็นคนสุดท้าย เมื่อเปิดประตูร้านออกไป ชายผู้อยู่ที่หลังบาร์จะกล่าวอำลาเขา
ตลอดวันเขาจะนั่งอ่านหนังสือที่เขานำติดตัวมาพร้อมกับกาแฟแก้วแล้วแก้วเล่า เขาไม่กินอาหารระหว่างวัน จนกว่าเขาจะกลับถึงบ้าน ที่นั่นเขาจะนำอาหารแช่แข็งออกจากช่อง และเริ่มต้นปรุงมัน เขามีวิธีทำอาหารหลากหลาย การต้องอยู่เพียงลำพังหลังการจากไปของภรรยา ทำให้เขาเรียนรู้การทำอาหารนานาแบบ
หลังจากกินอาหาร เขาจะนั่งอ่านหนังสือต่ออีกจนถึงเวลาค่ำคืนแล้วเข้านอน เพื่อจะปรากฏตัวที่ร้านกาแฟแห่งนี้อีกครั้ง
หญิงสาวผู้นั้นฟังเรื่องราวของเขาด้วยความเพลิดเพลิน
เธอพบว่าเขาเป็นคู่สนทนาที่ดียิ่ง เขาเป็นคู่สนทนาที่ทำให้วันชื่นคืนสุขที่มนุษย์ยังสัมผัสกันกลับคืนมา
ทั้งคู่เริ่มต้นสนทนาอีกครั้ง ในครานี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในหนังสือ
ชายชราดูพยายามที่จะอธิบายถึงเรื่องราวภายในนั้น
ในขณะที่หญิงสาวพยักหน้าเป็นระยะ เธอดูตกอยู่ในภวังค์ของเรื่องเล่าจากปากคำของชายชราผู้นั้น
ท่าทีของทั้งสองคนทำให้นายหมอกสีเทาอดสนใจเรื่องราวในหนังสือไม่ได้
ดังนั้น เมื่อชายชราลุกออกจากโต๊ะของเขาเพื่อไปทำกิจธุระส่วนตัว และวางหนังสือไว้บนโต๊ะ นายหมอกสีเทาจึงตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะตาม
เขาเดินผ่านด้านหลังของหญิงสาวผู้นั้น เหลือบมองไปที่ปกหนังสือที่วางอยู่อย่างสงบบนพื้นโต๊ะ
ปกหนังสือเป็นเพียงตัวเลขอย่างที่เขาคาด
แต่มันดูไม่คล้ายกับตำราคณิตศาสตร์
มันเป็นปกหนังสือที่มีตัวเลขเพียงสี่ตัว