เผยแพร่ |
---|
เหมือนกับกรณีการขุดคุ้ยการถือครองหุ้น วี-ลัค มีเดีย ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะเป็นหมัดเด็ด ไม่เพียงแต่สยบ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เท่านั้นหากเท่ากับดึงแข้งดึงขาพรรคอนาคตใหม่
อย่างน้อยพรรคอนาคตใหม่และ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็เสียเวลาไปอย่างมากกับกรณี วี-ลัค มีเดีย
เห็นได้จากการแถลงข่าวของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล
เห็นได้จากชะตากรรมของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มิอาจได้แสดงบทบาทของส.ส.ในที่ประชุมได้ ไม่ว่าประชุมรัฐสภา ไม่ว่าประชุมสภาผู้แทนราษฎร
แต่คำถามที่ตามมาก็คือ สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจและพรรคอนาคตใหม่ได้หรือไม่
ตรงกันข้าม สถานการณ์กลับ”บานปลาย”
เหมือนกับว่าที่บานปลายเพราะพรรคอนาคตใหม่ได้เปิดปฏิบัติ
การ “เอาคืน” ด้วยการส่งรายชื่อ 41 ส.ส.ที่ถือครองหุ้นสื่อไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
ดูเผินๆเหมือนกับการเอาคืนก่อให้เกิดการเอาคืนจากพรรค พลังประชารัฐ
เห็นได้จากการยื่นรายชื่อ ส.ส.ที่ครองหุ้นกว่า 30 คน
เป้าหมายของพรรคอนาคตใหม่อยู่ที่ ส.ส.ที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ พรรคประ ชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย
ขณะที่เป้าหมายของพรรคพลังประชารัฐเน้นไปยังพรรคเพื่อไทยอันเป็นพันธมิตรพรรคอนาคตใหม่
ล้วนเป็นการร้องเพื่อไปรวมอยู่ที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ”ทั้งสิ้น
สายตาทุกสายตาจึงมองผ่านว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร จะยึดถือเอากระบวนการเดียวกันกับที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือไม่
นี่เท่ากับเป็น”เผือกร้อน”ในมือ”ศาลรัฐธรรมนูญ”
เผือกร้อนในที่นี้เหมือนกับจะวางน้ำหนักอยู่ที่เมื่อทำกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะทำกับกรณี 70 ส.ส.ที่ถือครองหุ้นอย่างไร
จะยุติการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ส.ส.หรือไม่
เวลาและบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินไปอย่างไร รวดเร็วหรือว่าล่าช้า เพราะมีทั้งกรณี นายดอน ปรมัตถ์วินัย กรณีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นตัวอย่าง
ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของมาตรฐาน เป็นเรื่องของบรรทัดฐาน