ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
ในหมู่คนชอบดูความบันเทิง ชื่อของสังข์-ธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม คงคุ้นหู ด้วยนอกจากเขาจะเคยเป็นทั้งคนเบื้องหน้า เป็น “สังข์ 108 มงกุฎ” ในฐานะนักแสดงและพิธีกรแล้ว
ยังมีอีกสถานะคือเป็นคนเบื้องหลัง ทำหน้าที่ผลิตรายการโทรทัศน์ กำกับการแสดงละครทีวี รวมถึงกำกับละครเวที ซึ่งอย่างหลังนี้หลายคนคงได้พิสูจน์ฝีมือกันมาแล้วจาก “โหมโรง เดอะ มิวสิคัล” ที่ใครหลายคนกล่าวขวัญถึง
ล่าสุดเจ้าตัวมากับผลงานละครเวทีชิ้นใหม่ ซึ่งนำเสนอด้วยความภาคภูมิใจ “ชายกลาง เดอะ มิวสิคัล” ละครที่เนื้อหาพูดถึงชีวิตของนักเขียนหนุ่มผู้มีอุดมการณ์ว่าจะไม่เขียนนิยายน้ำเน่าเด็ดขาด
แต่เมื่อชีวิตยากลำบาก เขาก็ต้องฝืนทนเขียนออกมา โดยนิยายของเขาเป็นไปตามสูตรความน้ำเน่าทุกประการ
ในเรื่องมีทั้งท่านชายผู้สูงศักดิ์แสนดีแต่โง่, นางเอกที่น่ารักแต่ดื้อ, หม่อมป้าและลูกสาวขี้อิจฉา รวมถึงการเข้าใจผิดที่ไม่น่าจะผิดได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะค้นพบเรื่องจริงอันไม่น่าเชื่อ
แถมจะว่าไปก็ยังน้ำเน่ายิ่งกว่านิยายเสียอีก…
“เรื่องนี้เป็นละครที่มีคุณค่ามากๆ เลยนะฮะในแง่ของเนื้อหา”
ใช่, คุณไม่ได้อ่านผิด เพราะแม้เรื่องย่อจะเป็นอย่างที่เห็น แต่สังข์ก็พูดออกมาอย่างนั้นด้วยความชัดเจน
ก่อนขยายความเพิ่ม โดยบอกว่า ละครที่จะนำออกแสดง ณ โรงละครเคแบงค์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน ระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม ถึง 9 มิถุนายนนั้น “แค่ถูกเคลือบด้วยความตลก”
“หายากนะ ละครที่มีคุณค่าในแง่ของสารที่จะบอก แล้วตลกขนาดนี้”
“เหมือนละครไร้สาระ แต่มีความลึกมากของเนื้อเรื่อง”
เนื้อเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่า ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน
ขณะเดียวกันก็ยังพูดถึง “ความต่าง”
“ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกันในปัจจุบัน”
อย่างตัวเอกของเรื่องที่ดูถูกนิยายน้ำเน่า และมองว่างานของเขาเป็นงานมีอุดมการณ์
“แต่นิยายน้ำเน่าก็มีคุณค่าสำหรับบางคน แค่อาจจะไม่ใช่สำหรับเขา เหมือนที่บอกว่าแมลงวันไปตอมอุจจาระทำไม คือมันมีค่าสำหรับแมลงวัน ถูกไหมฮะ”
“เราชอบเอาตัวเองไปตัดสินทุกสิ่ง แล้วไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน มันเลยอยู่รวมกันแล้วไม่มีความสุข”
สารทั้งหมดนี้ คนทำบอกว่าจะแทรกอยู่ให้คนดูรับไปแบบผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งบท ทั้งเพลง ฯลฯ ให้ดูไปแบบเพลินๆ “แต่พอกลับไป สมองจะไม่ว่างเปล่า”
การหยิบละครที่นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เคยเล่นแล้วมาทำซ้ำอีกครั้งนั้น คนทำบอกว่า เป็นเพราะเชื่อมั่นว่า “อย่างน้อยก็น่าจะสะกิดอะไรบางอย่างให้คนดู”
“ผมอยากทำหน้าที่ของผมน่ะครับ”
“จริงๆ ละครเวทีนี่ได้ตังค์น้อย บอกเลยบางทีจะขาดทุนด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ผมอยากบอกมันมีแวลู่มาก เพราะผมรู้สึกว่าผมแก่เกินที่จะทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์แล้ว” เขาบอกพลางยิ้ม
เรื่องแก่เกินจะทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์ดังว่านั้น เจ้าตัวว่าเป็นความคิดที่เกิดขึ้นกับเขามาได้ราว 5-6 ปีแล้ว
“เรื่องทำงานหาเงินเราพอแล้วละ ไม่ได้รวยร้อยล้าน พันล้านนะ แต่ก็ไม่อยากจะอะไรมาก แล้วก็อยากจะบอกบางอย่างด้วยหน้าที่การงานของเรา”
โดยครั้งนี้เขาเลือกที่จะบอกผ่าน “ชายกลาง เดอะ มิวสิคัล” งานที่เขาใช้คำอธิบายว่า “ดีงามทั้งในแง่เนื้อหาและความบันเทิง”
เมื่อถามคนที่ทำงานมานานราว 30 ปีว่า นอกจากเรื่องนี้ ยังมีอะไรที่อยากทำอีกไหม เขาก็ให้คำตอบที่อยู่ในใจมาทันที ว่าถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะทำ
“พระพุทธเจ้า เดอะ มิวสิคัล” นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาตีความ
“คำสอนที่ท่านค้นพบความจริงของโลกใบนี้”
ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเป็นเรื่องยาก
“ยากมากที่จะทำออกมาเป็นมิวสิคัลที่บันเทิง แต่มันจะมีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติมาก”
“ผมอยากทำ”