วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร/ ขึ้นจากหุบเหว สู่เบื้องบน (191)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร

ขึ้นจากหุบเหว สู่เบื้องบน (191)

 

เมื่อเซียวเล้งนึ่ง เอี้ยก่วย ดำน้ำกลับสู่ถ้ำน้ำแข็งกลับถึงริมบึงก็ประสบเข้ากับเชือกยาวเส้นหนึ่งห้อยลงมาจากปากเหว บริเวณริมบึงมีรอยเท้าอันสับสนซับซ้อนมากหลาย ข้างบึงก่อกองไฟกองหนึ่งเถ้าควันยังไม่มอดดับ

เมื่อสำรวจโดยรอบบึงน้ำเห็นบนต้นไม้ใหญ่มีคนใช้ปลายมีดสลักข้อความ

“อิดเต็ง แป๊ะทง เอ็งโกว อึ้งย้งเที้ยเอ็ง บ้อซัง มาถึงที่นี้ เสาะหาเอี้ยก่วยไม่พบพาน เดินทางกลับด้วยความผิดหวัง”

เอี้ยก่วยมือซ้ายยึดจับเส้นเชือก ใช้กำลังเล็กน้อยร่างก็พุ่งตัวขึ้นไปวาเศษ

จากนั้นเซียวเล้งนึ่งไต่เส้นเชือกตามมา ทั้ง 2 ใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นจากหุบเหว เมื่อมายืนเคียงคู่บนผาลำไส้ขาด มองดูข้อความอันเซียวเล้งนึ่งจารึกบนผนังศิลา

คล้ายกับชุบชีวิตกำเนิดใหม่

ทั้ง 2 สบสายตา ยิ้มให้แก่กันและกัน จิตใจปลาบปลื้มยินดี ความทุกข์ตรม หมองเศร้าใน 16 ปีนี้ล้วนสลายเป็นควันเถ้าถ่าน

เอี้ยก่วยเด็ดดอกศิลามังกรช่อหนึ่งทัดจอนหูเซียวเล้งนึ่ง

พริบตานั้น ดอกไม้ นงคราญ ประชันประกาย สีสันไม้ดอกตัดกับผิวพรรณใบหน้า ไม่ทราบว่าดอกไม้แดงเพิ่มความงดงามแก่ผู้คน หรือว่าพักตร์พริ้งเพิ่มเติมสีสันแก่ดอกไม้แดง

 

ตัดมายังสถานการณ์ ณ เมืองเซียงหยาง เพราะว่าก๊วยเซียงถูกกิมลุ้นฮวบอ้วงคร่ากุมตัวและใช้เป็นเครื่องต่อรองกับทัพของก๊วยเจ๋ง แม้จะได้อึ้งเอี๊ยะซือ จิวแป๊ะทงมาหนุนช่วยและวางแผนในการสัประยุทธ์ชิงชัย แต่สภาพที่ก๊วยเซียงถูกพันธนาการอยู่บนหอสูง

เห็นบิดา-มารดากับงั่วกงล้วนไม่สามารถขึ้นมาช่วยเหลือ ควันหนาทึบ เปลวอัคคีโอบล้อมชั้นล่างของหอไว้

ทราบว่าอีกชั่วพริบตาต้องถูกไฟคลอกตายแน่

ตอนแรกย่อมประหวั่นลนลาน แต่เหตุการณ์พอกรายมาถึงจิตใจกลับสงบเยือกเย็น ทอดตามองไปยังทิศเหนือเห็นที่ราบกว้างไพศาล ทิวทัศน์ตระการปานภาพวาด ต้องครุ่นคิด “โลกงดงามถึงเพียงนี้แต่เรากลับใกล้ตาย เพียงไม่ทราบตอนนี้ตั่วกอกออยู่ที่ใด ขึ้นมาจากก้นหุบเหวหรือไม่”

หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่อยู่ร่วมกับเอี้ยก่วยหลายวัน มาตรว่านับแต่นี้ไม่มีโอกาสพบหน้ากันอีก แต่การพบ 3 ครั้งก็เพียงพอกับการประโลมใจไปชั่วชีวิต แม้ตอนนี้ตกอยู่ในห้วงอันตรายแต่จิตใจกลับสงบสุขอย่างยิ่ง

หาได้กังวลสนใจต่อสภาพสัประยุทธ์ของ 2 ทัพที่ใต้หอไม่

 

ขณะความคิดคำนึงของก๊วยเซียงลอยล่องไปถึงหุบเหวลึก ณ ผาไส้ขาด หุบเขาสิ้นไมตรี จมอยู่ในห้วงแห่งความหลังฝังจิตประทับใจ

พลันได้ยินที่ห่างไกลบังเกิดเสียงกู่ร้อง สดใส กังวาน ก้องมา

ภายในพริบตานั้นเสียงการประหัตประหารฆ่าฟันระหว่างไพร่พลทหารนับหมื่นของทั้ง 2 ฝ่ายคล้ายถูกกลบบดบังไปสิ้น

ก๊วยเซียงใจสั่นสะท้าน

เสียงกู่ครั้งนี้สะกดขวัญวิญญาณผู้คน เป็นสุ้มเสียงเดียวกันกับเมื่อคราก่อนที่เอี้ยก่วยส่งเสียงกู่สยบฝูงสัตว์ร้ายล้มระเนน เอนระนาบ

เมื่อเหลียวไปยังต้นเสียง เห็นทหารมองโกลทางตะวันตกเฉียงเหนือล้มลงเกลือกกลิ้ง แตกฮือ

เห็นผู้กล้า 2 คน พุ่งฝ่าดงดาบ ภูเขาทวน ราวกับเรือใหญ่แหวกฝ่าฟองคลื่น ณ เบื้องหน้า ปรากฏนกยักษ์คลี่กางปีกก่อเกิดเป็นพายุ ปัดป่ายห่าเกาทัณฑ์อันระดมยิงเข้ามาร่วงลงพรั่งพรู

นั่นย่อมเป็นอินทรีวิเศษ นั่นย่อมเป็นการมาของเอี้ยก่วย

ก๊วยเซียงยินดียิ่ง เมื่อเพ่งตามองอย่างพิศ เห็นคนทางซ้ายสวมชุดเหลือง เห็นคนทางขวาสวมชุดขาวพลิ้วไสว

ทั้ง 2 ล้วนถือกระบี่ยาวร่ายรำเป็นประกาย

 

เอี้ยก่วยเห็นตอนล่างของหอสูงร้อนรุ่มด้วยอัคคี พลันโผพุ่งกายไปยังบันได ปีนป่ายขึ้น พลันรู้สึกมีพลังฝ่ามือกดกระแทกลงยังศีรษะ

เป็นกิมลุ้นฮวบอ้วงฟาดฝ่ามือลอบทำร้าย

จึงหันกระบี่วกฝ่ามือต้านรับ เสียงโครมบังเกิดเมื่อพลังมหาศาล 2 สายปะทะกัน ทั้ง 2 ล้วนส่ายโงนเงน บันไดไม้โยกไหวแทบหักสะบั้น ทั้ง 2 ล้วนใจหายวูบลอบชมเชยอีกฝ่าย

“ไม่พบพาน 16 ปี กลับมีฝีมือรุดหน้าถึงเพียงนี้”

เอี้ยก่วยอาศัยแขนเสื้อมือเดียวหักล้างกับจักรคู่กิมลุ้นฮวบอ้วง 200 กว่ากระบวนท่า ยิ่งต่อสู้ พละกำลังยิ่งยืนนาน ได้ยินเสียงร้องของก๊วยเซียงดังแว่วมา

“ตัวกอกอ อย่าได้สนใจข้าพเจ้า เพียงฆ่าลามะทิเบตนี้ล้างแค้นให้แก่ข้าพเจ้า”