มหกรรมขุด “จันทร์โอชา-วงษ์สุวรรณ” ชุลมุนข้างกาย “บิ๊กตู่” ทุบวิกฤตศรัทธา! คสช.

ช่วงเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. รวมทั้ง “อ.น้อง” รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยา ระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ

เพราะต่างทราบดีว่าถูกจับจ้อง

สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ รศ.นราพร ต้องทำเมื่อก้าวเข้าสู่ตำแหน่งคือการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินต่างๆ กับทาง ป.ป.ช. ที่ได้ชี้แจงอย่างละเอียด

อีกทั้ง รศ.นราพร ที่ผ่านมาก็วางตัวและทำหน้าที่หลังบ้านแบบเงียบๆ มาตลอด

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์มักจะไม่เปิดเผยถึงบุตรสาวฝาแฝด “พลอย” ธัญญา จันทร์โอชา และ “เพลิน” นิฏฐา จันทร์โอชา ยกเว้นแต่งานเลี้ยงปีใหม่ที่สื่อมีโอกาสได้พูดคุยหรือตามโอกาสต่างๆ เท่านั้น

ซึ่งผ่านมาเกือบ 5 ปี ก็ไม่มีภาพ “พลอย-เพลิน” ออกมา ยกเว้นการนำภาพในอดีตเผยแพร่ นั่นคือวง “BADZ”

แต่ในวันนี้ทั้งคู่ก็ไม่ได้เป็นนักร้อง และใช้ชีวิตเป็นส่วนตัว

สิ่งสำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์กั้นพื้นที่ระหว่างงานกับครอบครัวชัดเจน

แต่เรื่องราวต่างๆ ยังคงมาจากคนใกล้ชิด

โดยเฉพาะ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์

ล่าสุดเกิดกรณีที่สำนักข่าวอิศราเปิดเผยข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พบว่าในการประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคาร กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 14 สังกัดกองทัพภาคที่ 3 ตามโครงการจัดตั้งกองพลทหารราบที่ 7 ประจำปีงบประมาณ 2562 ด้วยวงเงิน 11,860,600 บาท ต่ำกว่าราคากลาง 16,300 บาท จากราคากลาง 11,876,900 บาท มีผู้ชนะการประมูลคือ หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น และบริษัทพี-ไรท์แอนด์บริส จำกัด

โดยบริษัทคอนเทมโพรารีฯ มีนายปฐมพล จันทร์โอชา เป็นหุ้นส่วน โดยนายปฐมพลเป็นบุตรชายคนโต พล.อ.ปรีชา

ขณะที่บริษัทพี-ไรท์แอนด์บริส มีชื่อนายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา เป็นกรรมการบริษัท

โดยนายปฏิพัทธ์เป็นบุตรชายคนเล็กของ พล.อ.ปรีชา จดทะเบียนเมื่อ 3 สิงหาคม 2561

จึงเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ตามมา

เพราะ พล.อ.ปรีชาเคยเป็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 3 โดยที่ผ่านมาบริษัทก่อสร้างของนายปฐมพล บุตรชายคนโตก็เคยชนะการประมูลการก่อสร้างในโครงการสำคัญของกองทัพภาคที่ 3 และของหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ มาแล้ว โดย พล.อ.ปรีชาได้ยืนยันไม่มีเรื่องเส้นสาย

“อยากให้สื่อช่วยไปดูข้อเท็จจริงว่าบุตรชายของผมได้ทำตามขั้นตอนถูกต้องหรือไม่ ในฐานะที่ตนเป็นทหารเก่า เขาจะทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องยึดความถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบตามที่หน่วยงานต่างๆ กำหนดไว้ ไม่ได้ไปวิ่งเต้นหรือใช้เส้นสาย หรือการไปประมูลใช้ชื่อของตนหรือของคนอื่น ซึ่งสื่อนำไปลงกันเองทั้งนั้นจนทำให้คนเข้าใจผิด”

พล.อ.ปรีชาแจง 22 เมษายน 2562

อย่างไรก็ตาม ช่วงปี 2559 เคยมีกรณีของนายปฏิพัทธ์ คุณวุฒิปริญญานิเทศศาสตรบัณฑิต (สื่อสารมวลชน) ที่ได้เข้ารับราชการทหาร ในตำแหน่งนายทหารฝ่ายกิจการพลเรือนของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่ง พล.อ.ปรีชาขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง โดยการอนุมัติอยู่ในอำนาจของ รมว.กลาโหม โดยปลัดกระทรวงกลาโหมได้รับมอบให้ทำการแทนและสั่งการในนามของ รมว.กลาโหม

ต่อมาเดือนสิงหาคม 2560 มีรายงานว่า ร.ต.ปฏิพัทธ์ (ยศขณะนั้น) ได้แจ้งลาออกจากราชการแล้ว ด้วยเหตุผลเพื่อความสบายใจของทุกคน เพราะเรื่องนี้สะเทือนมาถึงพ่อกับแม่และ พล.อ.ประยุทธ์ด้วย แต่ที่เป็นวาทะมาถึงทุกวันนี้คือ พล.อ.ปรีชาได้กล่าวในเชิงที่ว่า ใครๆ ก็ทำกัน

“ลูกชายจบปริญญาตรีมาก็ต้องทำงาน เมื่อมีตำแหน่งว่างก็ให้เข้ามาทำงาน ซึ่งก็มีหลายคนในกองทัพที่ทำแบบนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ลูกชายพี่คนเดียวที่ทำแบบนี้ได้” พล.อ.ปรีชาแจง 16 เมษายน 2559

พร้อมทั้งกรณี “คุณอู๊ด” ผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภริยา ถูกวิจารณ์ขณะเป็นนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกลาโหม จากโครงการฝายชะลอน้ำ ที่อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เมื่อกันยายน 2559 โดยมีการตั้งชื่อฝายว่า “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” จึงเกิดคำถามถึงที่มาของชื่อและการใช้งบประมาณ

ทำให้ พล.อ.ปรีชาออกมาชี้แจงว่า มีการใช้งบประมาณจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 7,800 บาทเพื่อซื้อหิน โดยมีชาวบ้านและทหารร่วมกันสร้าง ส่วนชื่อฝายชาวบ้านตั้งกันเอง ซึ่งตนขอยืนยันว่าสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แม้จะไม่ได้เป็นหน่วยขึ้นตรง แต่ได้ทำงานร่วมกันและสามารถที่จะใช้งบฯ สนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมได้ เรื่องการทำฝายกั้นน้ำ ในพื้นที่มีการร้องขอมา โดยมีศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ กรมการพลังงานทหาร ศูนย์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่อยู่

“ช่วงนี้เรตติ้งกำลังแรง ขออยู่เฉยๆ ดีกว่า ไม่มีอะไร เราก็อยู่ของเรา เราตั้งใจทำให้ชาวบ้าน ชื่อชาวบ้านตั้งเอง เขาเรียกชื่อพ่ออุ้ยแม่อุ้ย เราบอกจะใช้ชื่ออะไรก็แล้วแต่ ชาวบ้านเลยใช้ชื่อ “แม่” เพราะจำง่ายดี ส่วนตัวไม่เครียด” นางผ่องพรรณแจง 20 กันยายน 2559

ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องฝายกั้นน้ำ แต่มีการเผยแพร่รูปภาพขณะที่ พล.อ.ปรีชาและนางผ่องพรรณไปร่วมงานต่างๆ จึงเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม ซึ่ง พล.อ.ปรีชาก็ยอมรับว่า เพราะนามสกุล “จันทร์โอชา” จึงถูกโจมตี แม้แต่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ก็เห็นพ้องด้วย

“เชื่อว่าบุคคลทั้งสองเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีความทะเยอทะยานหรืออยากจะเป็นอะไร และเชื่อว่าหากไม่เป็นน้องชายนายกรัฐมนตรีก็จะไม่เป็นข่าว ซึ่งหลังจากนี้จะทำอะไรก็ต้องมีความระมัดระวัง เพราะมีคนจับตาดูอยู่” พล.อ.ประวิตรกล่าว กันยายน 2559

แน่นอนว่าด้วยนามสกุล “จันทร์โอชา” จึงตกเป็นเป้ามากขึ้น ซึ่ง “บิ๊กตู่-อ.น้อง” ที่เห็นถึงสภาวะเช่นนี้จึงปิดช่องทั้งหมด จึงทำให้เป้ามาตกที่ญาติและคนใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์แทน เพราะแรงสะเทือนย่อมไปถึง พล.อ.ประยุทธ์โดยตรงแน่นอน

ทำให้นักสืบโซเชียลตามขุดเรื่องเก่าและใหม่ออกมาเสมอ

อีกหนึ่งบุคคลที่ถูกวิจารณ์หนักคือ พล.อ.ประวิตรที่มีเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะกรณี “นาฬิกาหรูยืมเพื่อน” ที่ ป.ป.ช.ได้ตีตกไปแล้ว เพราะไม่มีมูลเพียงพอที่จะตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ถือว่า “เป็นปมในใจ” พล.อ.ประวิตรไปอีกนาน และถือว่าเป็นศึกช่วง 1 ปีที่หนักไม่น้อย

ย้อนกลับอีกคือกรณี “ทริปบินฮาวาย” ในการเดินทางเยือนฮาวาย สหรัฐ ของ พล.อ.ประวิตร เพื่อร่วมประชุม รมว.กลาโหมอาเซียนบวกสหรัฐ 29 กันยายน-2 ตุลาคม 2559 หลังมีการนำเอกสารงบประมาณออกมาเผยแพร่ใช้งบฯ เดินทางกว่า 20.9 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ สตง.ตรวจสอบแล้วไม่พบการทุจริต โดยระบุว่าคณะวีไอพีเดินทางไปสหรัฐ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11 ชั่วโมง แต่ถ้าเดินทางโดยเครื่องบินพาณิชย์ใช้เวลา 16-33 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 5-6 แสนบาท/คน หากคูณกับจำนวนผู้โดยสาร 38 คน อยู่ที่ 19 ล้านบาท และมีคณะที่เดินทางไป 38 คน ส่วนเที่ยวกลับมี 41 คน เนื่องจากมีส่วนล่วงหน้า 3 คน จากข้อมูลของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและการบินไทย ส่วนคนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตรและรายชื่อตัวแทนจากภาคธุรกิจไม่ได้เดินทางไปด้วย มีแต่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงและสื่อมวลชนของทหารร่วมคณะเดินทางไป แต่ที่ไม่นำหลักฐานมาเปิดเผย เพราะอาจกระทบต่อความมั่นคงและผิดจริยธรรม

ส่วนค่าอาหารบนเครื่องเที่ยวไปและกลับ 4 มื้อ วงเงิน 6 แสนบาท ยอมรับว่ามีชุดเสิร์ฟอาหารวีไอพี สายการบินอื่นชั้นนำก็มีเมนูนี้ ดังนั้น รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นไปตามใบสั่งงาน ไม่เกิน 20.9 ล้านบาท คำนวณตัวเลขจากต้นทุน ค่าโสหุ้ย และกำไร สรุปร้อยละ 20

ซึ่งถือว่าปกติ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่เสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ

ล่าสุด พล.อ.ประวิตรถูกเว็บไซต์อินเวสติ้ง เผยแพร่ข้อมูลระบุว่าเป็นบุคคลร่ำรวยระดับเศรษฐีของทวีปเอเชีย 45 คน โดย พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า เว็บไซต์อินเวสติ้งเป็นของบริษัทฟิลชั่นมิเดีย มีชาวยิวเป็นเจ้าของ จดทะเบียนอยู่ที่เกาะบริติชเวอร์จิ้น

ต่อมา พล.อ.ประวิตรชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง เป็นข้อมูลเฟก ตนชี้แจง ป.ป.ช.ไปหมดแล้ว อีกทั้งมีท่าทีที่ซีเรียสกับสื่อ เมื่อถูกถามย้ำว่าตนมีทรัพย์สินอยู่ต่างประเทศหรือไม่ โดย พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “โธ่เอ๊ย จะไปมีได้อย่างไร”

มาพร้อมนักสืบโซเชียลที่เริ่มไปตามเฟซบุ๊กคนในครอบครัว พล.อ.ประวิตร ซึ่งไม่ต่างจากกรณี พล.อ.ปรีชากับครอบครัว ซึ่ง พล.อ.ประวิตรถือเป็นเป้าโจมตีที่สะเทือนถึง พล.อ.ประยุทธ์-คสช. ได้เช่นกัน กลายเป็น “มหกรรมขุด” ส่งท้าย คสช. ที่ต้องจับตาว่างานนี้จะมี “เช็กบิลย้อนหลัง” หรือไม่

เป็นอีกศึกที่ “บิ๊กตู่” ต้องเจอแน่นอน หากกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง