การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ในความบิดเบี้ยวเคลื่อนไหว

[ผมต้องรู้สึกประหลาดใจที่พบแผ่นจารึกหลายแผ่นแขวนอยู่ที่ผนัง(1) เมื่อปัดฝุ่นออกและเพ่งดูตัวอักษรที่เลือนรางและซีดจางตามกาลเวลา ผมพบว่าในนั้นมีบทกวีไฮกุถึง 12 บท แม้ในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้ ก็มีชาวบ้าน 20-30 คน ที่ได้แต่งบทกวีไฮกุอุทิศเป็นเครื่องสักการบูชา…

ปัจจุบันไม่มีใครในหมู่บ้านนี้มีเวลามากพอที่จะแต่งกวีนิพนธ์…

เหล่าจื้อ นักปราชญ์เต๋ากล่าวว่า ชีวิตที่สมบูรณ์และถูกต้องดีงามคือชีวิตที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ท่านโพธิธรรม ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางพุทธศาสนานิกายเซน ได้ใช้เวลา 9 ปี อาศัยอยู่ในถ้ำ โดยปราศจากกิจกรรมอันวุ่นวายยุ่งเหยิง การเป็นกังวลอยู่กับการหาเงินทอง การขยายตัว การพัฒนา ปลูกพืชเศรษฐกิจและส่งไปขาย หาใช่วิถีทางของเกษตรกรไม่

การอยู่ที่นี่ ดูแลที่นาผืนเล็กๆ เป็นเจ้าของอิสรภาพและเวลาอันเหลือเฟือในแต่ละวัน และทุกๆ วัน สิ่งนี้ต่างหากคือหนทางเดิมแท้ของเกษตรกรรม]

 

ท้องฟ้าสดใสไปด้วยก้อนเมฆสีขาว มีสายลมพัดโบยโบก ดอกหญ้าเล็กๆ ขึ้นอยู่ข้างคันนา ชูช่อสีน้ำตาลระเริงไหว ฉันรู้สึกเต็มไปด้วยความฝันและความหวัง…จู่ๆ ก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง นับตั้งแต่วันที่มี “คำหวาน” เข้ามาอยู่ในชีวิต เฉกเช่นกับ “เพียงบัว”

ชีวิตช่างน่าประหลาดแท้ แม้คนหนึ่งจะอยู่ไกล ได้พบกันเพียงในตัวหนังสือจากจดหมาย กับอีกคนอยู่ใกล้ และเพิ่งได้มาทำความรู้จักกันมากขึ้น ขณะที่ผู้คนอีกมากมายแวดล้อมอยู่รายรอบตัวเรา แต่เหมือนฉันค่อยๆ ได้ค้นพบคำว่า “สิ่งสำคัญ” หรือบางที มันอาจเป็นแบบเดียวกับในหนังสือเจ้าชายน้อยที่บอกไว้ว่า

“สิ่งสำคัญไม่อาจมองเห็นด้วยตา”

เพียงบัวมีความสำคัญต่อฉัน มากมายเพียงไหน ก็บอกได้จากหัวใจที่ยังคงเต้นแรงทุกครั้งเมื่อได้จดหมายซองสีขาวยาวๆ อีกหนังสือทุกเล่มที่คอยส่งมาให้ บางครั้งยังส่งแสตมป์มาให้เป็นแถวๆ “เอาไว้ช่วยให้เธอส่งจุลสาร”

และยิ่งตระหนักถึงความสำคัญมากขึ้น เมื่อรู้ดีว่าเพียงบัวคือคนที่เปิดโลกอีกบานให้ จากหนังสือหลายต่อหลายเล่มที่ส่งมา หนังสือประเภทที่ลำพังตัวฉันเองคงจะหาอ่านไม่ได้ ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่

ส่วนกับคำหวาน…นับวัน ก็เหมือนยิ่งจะรู้จักกันมากขึ้น มีหลายสิ่งที่ทำให้ระลึกถึงชื่นใจ ความภักดีในตัวพ่อแม่ ความรักที่ให้กับญาติพี่น้อง ความใฝ่ฝันจะมีชีวิตอยู่ดีมีสุข การเป็นคนตรงไปตรงมา เหล่านั้นคือสิ่งที่ฉันให้ความนับถือ…อาจจะเป็นความนับถือ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเป็นคนดีขนาดนั้นได้

ในแต่ละวัน เมื่อฉันใช้เวลากลางคืนเขียนจดหมายถึงเพียงบัว อยู่กับคำหวานในช่วงเช้าจรดค่ำ เขียนถึงกัน คุยกัน พูดกัน เกี่ยวกับชีวิตและความใฝ่ฝัน…ไม่น่าเชื่อเหมือนกัน…อย่างช้าๆ ที่ฉันค่อยๆ ลืมเลือนการจะจากลาไป

ท้องฟ้าที่สดใสไปด้วยก้อนเมฆสีขาว นับวันก็ยิ่งดูขาวพิสุทธิ์ลออตา เวลาที่นั่งอยู่บนคันนาคันเก่า หลายค่ำหลายเช้า ที่เมื่อมีเวลาว่างครั้งใด ฉันจะควักเอาหนังสือในย่ามออกมา และอ่านให้คำหวานฟัง

 

[การแบ่งแยกประสบการณ์ออกเป็นกายและจิตนั้นเป็นความคับแคบและสับสน มนุษย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่โดยพึ่งพิงแต่อาหารเท่านั้น ที่สุดแล้ว เราไม่อาจรู้ว่าอาหารคืออะไรด้วยซ้ำ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าคนเราเลิกคิดถึงแม้แต่อาหารเช่นเดียวกัน

จะเป็นการดี ถ้าคนเราเลิกทำให้ตัวเองยุ่งยากด้วยการค้นหา “ความหมายที่แท้จริงของชีวิต” เราไม่มีวันจะรู้คำตอบเกี่ยวกับคำถามทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่มันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะไม่เข้าใจ เราเกิดมาและมีชีวิตอยู่บนพื้นพิภพนี้ เพื่อเผชิญหน้าโดยตรงกับความเป็นจริงของการมีชีวิตอยู่]

 

“เดี๋ยว! พี่ ฉันไม่เข้าใจ…อะไรนะ การแบ่งแยกประสบการณ์…”

“การแบ่งแยกประสบการณ์ออกเป็นกายกับจิต นั้นเป็นความคับแคบและสับสน…”

“นั่นแหละๆ มันหมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความว่า กายกับจิตควรจะเป็นสิ่งเดียวกันไง”

“ยังไง”

“ก็นี่…” ฉันจิ้มมือไปที่แขนของคำหวาน “คือกาย”

คำหวานมองหน้าฉันอย่างพิศวงสงสัย และมีความใคร่รู้อยู่เต็มเปี่ยม

“ส่วนนี่ ก็คือจิต” ฉันดึงเอามือคำหวานมาแนบกับอกตัวเอง “จิตอยู่ในอกเรานี่ มือเธอที่แตะอยู่ตรงนี้ พอรวมกัน มันก็คือกายกับจิต”

“โอ้ย ฉันไม่เข้าใจ” คำหวานดึงมือออก หน้าแดงเรื่อขึ้นอีก อย่างที่เห็นบ่อยๆ ในช่วงหลังนี้

“ฉันไม่มีความรู้อย่างเธอหรอก”

“ก็ไม่เห็นต้องใช้ความรู้เลยนี่” ฉันพูดออกไป

“ยังไงอีกล่ะ”

“ฉันก็ไม่มีความรู้นะ คำหวาน ฉันแค่…รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจ”

 

มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งฉันเองก็ไม่อาจจะหาคำอธิบายได้ ในทุกๆ ครั้งที่อ่านหนังสืออยู่เพียงลำพัง หรือเมื่อนำมันมาอ่านให้กับคำหวานฟัง แม้กระทั่งตอนเขียนไปถึงเพียงบัว ฉันรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างกำลังผุดเกิดและเติบโตอยู่อย่างเงียบเชียบภายในตัวฉัน

มันเหมือนของที่ล่องหน ฉันเองไม่อาจจับคว้ามันได้ แต่ถ้าจะเปรียบเหมือนมีดอกไม้เล็กๆ สีขาวสวยหอม ค่อยๆ ผุดขึ้นในระหว่างใจ…ใช่ อาจจะต้องเรียกว่าระหว่างใจ ฉันมองเห็นมันด้วยดวงตาที่อยู่ภายใน ไม่ใช่ตาที่มองเห็นโลกรอบข้างอย่างนี้

มันจะเกิดขึ้น เวลาที่ฉันพบตัวหนังสือชุดพิเศษ อย่างเช่น หนังสือของคนญี่ปุ่นที่ชื่อมาซาโนบุ ฟูกูโอกะ คนนี้ จะมีบางประโยคหรือบางย่อหน้า เมื่อสายตากวาดไปเห็น ตัวหนังสือเหล่านั้นจะกลายเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ราวสิ่งมีชีวิต ค่อยๆ อาบไหลเข้าไปภายใน

ฉันจะเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งกับมัน ทุกคำเหล่านั้น จะมีภาพปรากฏชัดขึ้นในหัวทีละเล็กละน้อย ค่อยๆ รวมกันเป็นภาพใหญ่ มันจะย่อและขยายได้ตามใจชอบ ขึ้นอยู่กับว่าฉันอยากจะมองส่วนใด

เมื่อฟูกูโอกะเขียนถึงคำว่า “การแบ่งแยกประสบการณ์ออกเป็นกายกับจิต นั้นเป็นความคับแคบและสับสน” ฉันก็จะวูบวาบเข้าไปในอก รู้ขึ้นมาโดยบัดดลว่าอะไรคือกาย อะไรคือจิต ฉันจะมองเห็นผิวเนื้อ ใบหน้า จมูกคิ้วคาง เส้นผม รูขุมขน เส้นสายลายริ้ว ที่ห่อหุ้มโครงกระดูกเอาไว้ และเข้าใจไปถึงพังผืด เส้นเอ็น เลือดที่ไหลเวียนในกระแส ตับไตไส้พุงข้างใน ว่าเหล่านั้นไงคือกาย

แล้วฉันก็จะสัมผัสได้ถึงสิ่งที่วูบวับ ติดๆ ดับๆ อยู่ในอก…มันคงจะเป็นจิต มันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคิด สัมผัสมันได้อย่างเลือนรางและแจ่มชัดในแต่ละครั้งคราวไม่เท่ากัน หากมันทำให้ตระหนักรู้ได้ ว่าอะไรคือที่มาของความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ

แต่นอกจากนั้น ฉันยังได้พบอีกว่า มีอีกส่วนที่จะอยู่ร่วมกับกายและจิต นั่นคือส่วนที่อยู่ใต้หัวกะโหลกของเรา คงจะเป็นมันสมองอ่องออ ฉันได้รู้จักว่า เมื่อเวลาคิด หัวกะโหลกของเราจะเป็นส่วนคิด แต่เมื่อรู้สึก ดวงจิตของเราจะเป็นตัวกำกับ ส่วนความเจ็บปวดภายนอก หรือสิ่งที่เรากำลัง “อยู่ในมัน” คือร่างกายอันเป็นตัวเป็นตน ประกอบด้วยเลือดเนื้อเหล่านี้…

ฉันไม่รู้ว่า จะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดกับตัวเองเหล่านี้อย่างไร ถึงที่สุด ฉันก็ยังไม่แน่ใจ มันคือความรู้จริงไหม ในเมื่อฉันไม่ได้เรียนหนังสือ และไม่มีใครสอนฉันเลย อีกทั้งเมื่ออยากจะอธิบายให้กับคนอื่น ก็ยังไม่อาจจะพูดได้ครบถ้วนกระบวนความ เพราะมันเป็นสิ่งที่ “ฉันรู้สึกว่าฉันเข้าใจ”

ฉันมองเห็นทั้งโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล และจุดเล็กจุดน้อยที่ซ่อนอยู่ต่ำใต้ ฉันเริ่มเห็นโครงสร้างมหึมาครอบคลุมท้องฟ้าเอาไว้ ฉันเห็นว่ามนุษย์ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ตัวเล็กๆ หรือพวกแมลงที่วิ่งวน เพียงอายุขัยของคนกับของสัตว์อื่นๆ ไม่เท่ากัน ฉันยังมองเห็นการขึ้นและตกของดวงตะวัน ซึ่งมันเป็นวงโคจรซ้ำๆ

แต่ในความซ้ำก็มีการหักเหของแสง มีฤดูแล้ง มีฤดูฝน

และมีวันที่เราทุกๆ คนตกอยู่ในฤดูหนาว

 

[…เราเกิดมาและมีชีวิตอยู่บนพื้นพิภพนี้ เพื่อเผชิญหน้าโดยตรงกับความเป็นจริงของการมีชีวิตอยู่

การมีชีวิตอยู่ไม่มีอะไรมากกว่าเป็นผลจากการที่เราได้ถือกำเนิดมา ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คนเรากินเพื่อมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คนเราคิดว่าเขาต้องกินเพื่อมีชีวิตอยู่ นั่นไม่ใช่อะไรมากไปกว่าสิ่งที่เขาคิดขึ้นเอง โลกเป็นอยู่โดยความเป็นเช่นนั้นเอง

หากว่าคนเราจะละทิ้งเจตนารมณ์ในฐานะมนุษย์ของเขา และปล่อยให้ธรรมชาตินำทางเขาแทน มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเกรงกลัวการอดตาย

จงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะ นี่คือพื้นฐานที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์…]

 

“คําหวาน”

“หือ… อะไรพี่”

“เธอชอบชีวิตตัวเองตอนนี้หรือเปล่า”

“ยังไง ชีวิตตอนนี้คือยังไง”

“ก็ชีวิตตอนนี้ ที่เรากำลังนั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้”

“อ๋อ…ชอบสิ แต่มันจะดีมากๆ เลยนะ ถ้าเราจะไม่ต้องนั่งตรงนี้ตลอดไป”

“อยากไปนั่งตรงไหนเหรอ”

“ในบ้านของเราไง…ฉันนั่งในบ้านฉัน เธอนั่งในบ้านเธอ เรามีบ้านหลังใหญ่ๆ กันคนละหลัง”

อกฉันแปลบวูบ

“ไม่ใช่กระท่อมไม้ไผ่สิ”

“ก็ถ้าเรามีเงินเยอะๆ แล้ว เราก็จะเปลี่ยนจากกระท่อมไม้ไผ่ไปเป็นบ้านหลังใหญ่ๆ ไงจ๊ะ อ้อ แต่ถึงเราจะมีบ้านกันคนละหลัง เราก็จะไปมาหาสู่กัน บางวันฉันจะไปนอนกับเธอ บางคืนเธอก็มานอนกับฉัน”

“เราอยู่กระท่อมไม้ไผ่ไปตลอดไม่ได้เหรอ”

“จะบ้าหรือพี่!” คำหวานหัวเราะ ยังด้วยน้ำเสียงสดใส และดวงตาก็เป็นประกายเหมือนทุกวัน “ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นคนรวยอะไรมากมายหรอกนะ แต่ถ้าเรามีบ้านหลังใหญ่ๆ เราก็จะได้อยู่ในชายคาที่ฝนไม่รั่ว แดดร้อนบ้านก็จะเย็น หน้าหนาวบ้านเราก็จะอุ่น เวลามีคนมาบ้านก็มีที่รับแขกกว้างใหญ่ ใครๆ ก็จะชอบบ้านของเรา พ่อแม่ของเราก็จะมีหน้ามีตา…”

“ต้องมีหน้ามีตาด้วยเหรอ”

“เธอนี่!” คำหวานแกล้งตีแขนฉันเบาๆ “คนเราก็ต้องมีหน้ามีตากันบ้างล่ะ เฮ้อ แต่อย่าเพิ่งฝันกันขนาดนั้นเลย กว่าเราจะเก็บเงินได้สองพันก็ต้องอีกตั้งนานแน่ะ…กว่าเราจะค่อยๆ ทำสวนให้ได้กำไร”

“เธออยากทำสวนกับเราจริงหรือ”

“อ้าว! ทำไมถามแบบนั้นล่ะ ก็จริงสิ เราคุยกันแล้วนี่ ฉันก็อยากจะร่วมฝันกับเธอนะ ถ้าเราทำสวนได้เงินมากๆ เราก็จะทำอะไรได้อีกมากมาย คอยดูนะ ถ้าฉันปลูกบ้านได้หลังใหญ่ๆ เมื่อไหร่ พวกคนที่ดูถูกฉันเอาไว้จะต้องเสียใจ”

“ใครดูถูกเธอ…”

“เยอะแยะ…”

ฟูกูโอกะบอกว่า การแบ่งแยกประสบการณ์ออกเป็นกายกับจิตนั้นเป็นความคับแคบและสับสน แต่…แต่บางครั้ง ต่อให้เราเข้าใจว่าอะไรคือกาย อะไรคือจิต และสิ่งที่หลอมรวมนั้นมันจะดีกว่าอย่างไร หากในปัจจุบัน ซึ่งมันยังไม่อาจเป็นเวลาอันประเสริฐสุด ต่อให้มีบางความเข้าใจผุดเกิดอยู่ในตัวฉัน…ชั่ววูบบางครั้งฉันก็พบว่า ตัวเองยังเพียงกำลังก้มหน้าเพ่งหาอะไรไม่ทราบได้ ในความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยเงาหนาม ในความบิดเบี้ยวเคลื่อนไหวของสายน้ำที่มีผิวเป็นแผ่นกระจก

—————————————————————————————————————-
(1) จากหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล