วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร /16 ปีแห่งการรอคอย (186)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร

16 ปีแห่งการรอคอย (186)

 

พฤติการณ์ของเอี้ยคัง บิดามัน เมื่อประมวลจากคำบอกเล่าของกัวติ่งอัก ประสานเข้ากับแพ้เลี่ยงโฮ้ว ซัวทงเทียน สร้างความสะเทือนใจให้กับเอี้ยก่วยอย่างล้ำลึก

กระนั้น คำพูดหนึ่งอันมาจากกัวติ่งอัก

“เอี้ยกงจื้อ เจ้ากระทำความดีความชอบยิ่งใหญ่ที่เมืองเซียงหยาง ต่อให้บิดาเจ้ามีความผิดนานัปการก็หักกลบลบล้างไป เขาอยู่ในปรภพย่อมยินดีที่เจ้าชดใช้ความผิดแทนบิดา”

นี่ย่อมเป็นโอกาสอันดีให้เอี้ยก่วยนึกหวนทวนทบต่อแต่ละเหตุการณ์

นับตั้งแต่รู้จักอึ้งย้ง ก๊วยเจ๋ง 2 สามี-ภรรยา เห็นว่าอึ้งย้งที่ระแวดระวังต่อมัน ที่แล้วมาเกิดความเข้าใจผิด กระบิดกระบวนมากหลาย ล้วนสื่บเนื่องจากกรณีของบิดา หากปราศจากบิดา ตัวมันเองจะกำเนิดจากที่ใด

กระนั้น ความกลัดกลุ้มเหลือคณานับของตัวเองก็สืบเนื่องจากบิดา อดทอดถอนใจมิได้ ขณะเดียวกันก็อาศัยเงื่อนไขของตนเองคลี่คลายเรื่องราวระหว่างกัวติ่งอักกับซัวทงเทียน แพ้เลี่ยงโฮ้ว ก่อนอำลาจากมันมีเรื่องร้องขอทิ้งท้าย

“ขอให้ท่านปักตั้งป้ายหน้าหลุมฝังศพของบิดาผู้ล่วงลับ จารึกข้อความ ‘ที่ฝังศพบิดาผู้ล่วงลับ’ ลงนามว่า ‘ผู้บุตรไม่รักดีเอี้ยก่วยน้อมก่อตั้ง'”

กัวติ่งอักยินดีสนองรับด้วยความเต็มใจ

 

แม้ว่าความห่วงใยเฉพาะหน้าของเอี้ยก่วยคือการติดตามเพื่อหาทางช่วยก๊วยเซียงซึ่งถูกหลวงจีนทิเบตคร่ากุมตัวไป แต่กล่าวสำหรับคณะของอึ้งย้งเป้าหมายยังคงติดตามเสาะหาเซียวเล้งนึ่งอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยท้อ

ยิ่งเมื่อพบเข้ากับอิดเอ็งไต้ซือจิวแป๊ะทง เอ็งโกว ยิ่งได้พบเบาะแสน่าสนใจ

เมื่อจิวแป๊ะทงนำผึ้งมาให้ทอดทัศนา เห็นปีกทั้ง 2 ของผึ้งขนาดใหญ่สลักอักษร เมื่อเพ่งตามองก็ประสบเข้ากับคำ “ก้นหุบเขาไมตรี” (เช้งก๊กเต้ย) ในปีกขวา ส่วนปีกซ้ายจารึกคำ “เราอยู่สิ้น” (อั้วต่อเจาะ) อักษรแต่ละตัวมีขนาดเท่าเม็ดข้าว

ลายเส้นขีดเขียนอย่างชัดเจน แสดงว่าใช้เข็มเล็กละเอียดปักขึ้น สร้างความสงสัยแก่อึ้งย้งยิ่งพึมพำออกมาว่า

“ก้นหุบเขาไมตรี เราอยู่สิ้น ก้นหุบเขาไมตรี เราอยู่สิ้น”

พลางครุ่นคิด “อักษรเหล่านี้ต้องมิใช่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากแต่เป็นผู้คนจงใจปัก ด้วยนิสัยใจคอของเฒ่าทารกต้องไม่เสียเวลาทำงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้” พลันสรุป

นั่นสมควรเรียงร้อยถ้อยคำใหม่ “เราอยู่ก้นหุบเขาสิ้นไมตรี”

 

ประจวบเหมาะกับเอี้ยก่วยเดินทางถึงหุบเขาสิ้นไมตรีในวันที่ 2 เดือน 3 ก่อนกำหนดนัดหมายกับเซียวเล้งนึ่งเมื่อ 16 ปีก่อน 5 วัน

เดินทางมาโดยไม่รู้เรื่องจารึกอักษรบนปีกผึ้ง

ยิ่งเห็นตัวอักษรที่เคยสลักเอาไว้ “เซียวเล้งนึ่งกำชับเอี้ยนึ้งผู้เป็นสามีถนอมตัวไว้ หวังให้อยู่ร่วมสัมพันธ์”

ยิ่งเหม่อมองข้อความนี้อย่างโง่งมซึมเซา

จับเจ่าเฝ้ารอคอยเป็นเวลา 5 วัน ในที่สุดถึงวันที่ 7 เดือน 3 ไม่ได้ข่มตาหลับมา 2 วัน 2 คืน พอถึงวันนี้ยิ่งไม่อยู่ห่างจากผาลำไส้ขาดแม้สักครึ่งก้าว ตั้งแต่รุ่งเช้าถึงยามเที่ยง และจากยามเที่ยงถึงพลบค่ำ ทุกครั้งที่ลมพัดยอดไม้ไหว บุปผาร่วงหล่นลงในพนา

หัวใจเอี้ยก่วยเต้นระทึก กระโดดปราดขึ้นสอดส่ายสายตาขึ้นโดยรอบ แต่ไหนเลยจะมีร่องรอยของเซียวเล้งนึ่งแม้แต่เงา

 

กิมย้งบรรยายความรู้สึกของเอี้ยก่วยตามสำนวนแปล น.นพรัตน์ ออกมาว่า นับตั้งแต่ได้ยินคำพูดของอึ้งเอี๊ยะซือก็ล่วงรู้แต่แรกว่าแม่ชีเทพยดาน่ำไฮ้แห่งเกาะมหายาน เป็นวาจาที่อึ้งย้งปั้นแต่ง กระนั้น ข้อความบนหน้าผาเป็นเซียวเล้งนึ่งสลักทิ้งไม่แปลกปลอม

เพียงหวังนางปฏิบัติตามถ้อยวาจาเดินทางมาพบกันใหม่

แลเห็นอาทิตย์ลาลับกับขุนเขาไปอย่างช้าๆ หัวใจของเอี้ยก่วยก็ตกวูบตามดวงสุริยา เมื่อถูกขุนเขาบดบังไปครึ่งดวง

เอี้ยก่วยส่งเสียงร้องคำหนึ่ง

วิ่งตะบึงสู่ยอดเขา พาตัวไปอยู่ที่สูง เห็นอาทิตย์กลมโตเต็มดวงใหม่ค่อยคลายใจลงบ้าง ขอเพียงอาทิตย์ไม่ลับกับขุนเขา

วันที่ 7 เดือน 3 ยังไม่ถือว่าผ่านพ้นไป

แต่ต่อให้ขึ้นสู่ยอดสูงสุดของบรรพต สุดท้ายอาทิตย์ก็ลับหาย เอี้ยก่วยยืนบนยอดเขาเพียงลำพัง เหลียวมองไปรอบข้างอันเลือนราง ความหนาวเย็นคุกคามผิวกาย ม่านพลบค่ำเยือนกรายคุกคามคน ยืนอยู่หนึ่งชั่วยามโดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว จนเดือนครึ่งดวงลอยเลื่อนกลางฟ้าอย่างแช่มช้า

มิเพียงแต่วันนี้ผ่านพ้นไป แม้แต่คืนนี้ก็ใกล้ผ่านพ้นไปอีก แต่เซียวเล้งนึ่งหาได้รุดมาไม่