ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 เมษายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
กรองกระแส
อาการ การเมืองจากเลือกตั้ง ถึง รัฐธรรมนูญถึง รัฐประหาร 2557
สถานการณ์อันเป็นผลสะเทือนเนื่องแต่การจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม กำลังเป็นสถานการณ์อันนำไปสู่การตรวจสอบทางการเมืองในทุกองคาพยพด้วยความเข้มข้น จริงจังมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
มิได้จำกัดกรอบแต่เพียง “กกต.” ซึ่งรับผิดชอบโดยตรง
ตรงกันข้าม ไม่ว่า คสช. ไม่ว่ารัฐบาล ไม่ว่าแม่น้ำแต่ละสายอันเป็นเครือข่ายของ กกต. ล้วนแต่ถูกลากดึงเข้าสู่การตรวจสอบ
ตรงกันข้าม นักการเมืองและพรรคการเมืองล้วนถูกลากดึงเข้าสู่การตรวจสอบ
ยิ่งกว่านั้น ในภาคประชาชนก็มิได้แสดงบทบาทเพียงแค่เป็นคนที่ออกจากบ้านเพื่อไปลงคะแนนเลือกผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง ตรงกันข้าม การตัดสินใจครั้งนี้และผลลัพธ์อันได้รับมาในแต่ละราย แต่ละกรณี โดยกระบวนการเลือกตั้งที่ กกต.รับผิดชอบยังก่อให้เกิดความรู้สึกทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยตามมาอย่างคึกคัก
ความตื่นตัวในทางการเมืองอันเนื่องแต่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมจึงมีผลสะเทือนลึกซึ้งกว้างไกลเป็นอย่างสูงนับแต่ภายหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
นี่คืออาการของ “โรค” นี่คืออาการของโรคที่สัมพันธ์กับ “การเมือง”
วิธีคิด วิธีจัดการ
กับปัญหาเลือกตั้ง
พลันที่ปฏิกิริยาต่อการเลือกตั้งปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงภายหลังการเลือกตั้ง กระทั่งนำไปสู่การล่ารายชื่อเพื่อถอดถอน กกต. โดยตัวเลขทะยานจากหลักร้อยเป็นหลักพัน หลักหมื่น และเข้าสู่จำนวน 800,000 กว่ารายชื่อด้วยเวลาอันรวดเร็ว
ก่อให้เกิดมุมมอง 2 มุมมองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามมา
ด้านหนึ่ง เราได้รับรู้ถึงการออกมาปกป้องการทำงานของ กกต. แสดงออกถึงขนาดที่ประกันในประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ขอให้เชื่อมั่นและอยู่เฉยๆ ทุกอย่างจะดีเอง
ด้านหนึ่ง ไม่พอใจและถึงกับไม่ไว้วางใจ
น่าสังเกตว่า 2 มุมมองที่แตกต่างกันเช่นนี้ก็มีวิธีวิทยาในการมองแตกต่างกัน ฝ่ายที่ค้ำประกันให้กับประสิทธิภาพของ กกต.เห็นว่า สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นตลอด 2 สัปดาห์ภายหลังการเลือกตั้งเป็นการพยายามสร้างขึ้นโดยพรรคและกลุ่มทางการเมือง มิได้เป็นความบกพร่องของ กกต.
ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายหนึ่งก็มองว่าจุดเริ่มแห่งปัญหาน่าจะมาจากประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของ กกต.ตั้งแต่ก่อนและภายหลังการเลือกตั้ง บางคนถึงกับสรุปว่าเป็นเพราะ กกต.มีวาระซ่อนเร้นสมคบคิดกับบางพวกบางฝ่ายจึงกลายเป็นปัญหา
ฝ่ายหนึ่งมองเห็นปัญหามาจากปัจจัยภายนอก ฝ่ายหนึ่งมองเห็นปัญหามาจากปัจจัยภายใน
รากฐาน กกต.
กับประสิทธิภาพ
ฝ่ายที่เห็นอกเห็นใจ กกต.มองว่ากระบวนการเลือกตั้งที่ กกต.เข้ารับผิดชอบเป็นกฎกติกาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และรวมถึงตัวของ 7 กกต.ที่เพิ่งเข้ามารับผิดชอบในปี 2561 จุดอ่อนและความบกพร่องย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
คำถามที่เสนอเข้ามาก็คือ ใครรับผิดชอบในการวางกฎ กติกา
คำถามที่เสนอเข้ามาก็คือ แม้ 7 กกต.จะเป็นคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับผิดชอบในปี 2561 แต่ กกต.ก็สะสมความจัดเจนมาอย่างยาวนานภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญคือ พ.ศ.2540 และปฏิบัติการที่เป็นจริงในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544
รวมแล้วต่อเนื่องและยาวนานมากว่า 20 ปี
เรื่องเหลือเชื่อก็คือ ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 มิได้เป็นครั้งแรก แต่กระบวนการทำงานของ กกต.ชวนให้เข้าใจว่าเป็นคนหน้าใหม่ แทบไม่ได้สะสมความจัดเจนอันเกี่ยวกับการเลือกตั้งมาก่อนเลย
ตรงนี้แหละที่ละเอียดอ่อน ตรงนี้แหละที่ก่อให้เกิดความแคลงคลางและกังขาต่อกระบวนการทำงานของ กกต.ว่าอาจมีวาระซ่อนเร้น
เป็นวาระซ่อนเร้นตามเจตนาและความต้องการบางอย่างในทางการเมือง
กกต.เป็นหน้าด่าน
ศูนย์รวมคือ คสช.
ไม่ว่าจะมองผ่านรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะมองผ่านกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะมองผ่าน กกต. ทุกอย่างล้วนมีความสัมพันธ์กัน
โดยจุดเริ่มต้นมาจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
จุดเริ่มต้นนี้เองทำให้เกิด “แม่น้ำ 5 สาย” ไม่ว่าจะเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
นั่นคือที่มาของรัฐธรรมนูญ นั่นคือที่มาของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
ยิ่งกว่านั้น พลันที่ คสช.ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ปลดกรรมการ กกต.บางคนออกจากตำแหน่งและนำไปสู่การสิ้นสภาพของคณะกรรมการ กตต.ก็นำไปสู่การคัดสรรและแต่งตั้งคณะกรรมการ กกต.ชุดใหม่โดย สนช. จึงเท่ากับ กกต.มีรากฐานมาจากคำสั่งมาตรา 44 มีรากฐานมาจาก คสช.
เมื่อการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม ก่อให้เกิดปัญหาตามมา และก่อให้เกิดความแคลงคลางและกังขาต่อกระบวนการบริหารจัดการของ กกต. ในที่สุดทุกอย่างก็โยงสายยาวไปยัง คสช. ไปยังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
กลายเป็นว่ารัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 คือจุดเริ่มของปัญหา