วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร/ ศาลเจ้าทวนเหล็ก เกียเฮง (183)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร

ศาลเจ้าทวนเหล็ก เกียเฮง (183)

 

ภายใต้ประกายหิมะอันสาดสะท้อนอย่างสลัวเลือนราง เป็นศาลเจ้าซึ่งปล่อยทิ้งร้าง ไม่ได้รับการปฏิสังขรณ์ดูแลมาเนิ่นนาน

สภาพจึงชำรุดทรุดโทรม ประตูผุพัง

เพียงยกมือผลักเบาๆ ประตูก็ล้มไปยังด้านข้าง พอเดินเข้าไปก็เห็นเทวรูปโทรมๆ อยู่ภายในอาคารที่พังทลายลง หยากไย่ ใยแมงมุม ระโยงสาย เกลื่อนกลาด

เอี้ยก่วยยืนสงบนิ่ง นึกวาดภาพย้อนกลับไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน

บิดาถูกผู้คนทำร้ายที่นี่ เป็นเหตุให้มันมิอาจได้พบหน้าบิดา นึกแล้วก็หมองเศร้าวิปโยค โศกระทม สำรวจหน้าหลังไปเที่ยวหนึ่งสรุปได้บิดาตายไปนานนับ 30 กว่าปี ไม่น่าจะมีร่องรอยอะไรไว้ ไปถึงหลังศาลเจ้าเห็นระหว่างกลางต้นไม้ใหญ่ 2 ต้นปรากฏหลุมศพ

บริเวณหน้าหลุมปักตั้งป้ายหินมีหิมะปกคลุมอยู่

มันโบกแขนเสื้อแผ่พุ่งพลังออก พลันหิมะบนป้ายหินปลิวกระจายเวียนว่อน เห็นข้อความบนป้ายหิน เพลิงโทสะก็ลุกโหมขึ้น

ที่แท้บนป้ายหินสลักอักษรว่า “ที่ฝังศพศิษย์ไม่รักดี เอี้ยก่วย”

ยังบริเวณด้านข้างยังสลักอักษรเล็กยิ่งกว่าแถวหนึ่ง อ่านได้ความว่า “ซือแป๋ ด้อยปัญญา คูชู่กีก่อตั้ง”

 

เห็นเช่นนั้นอารมณ์เอี้ยก่วยก็พลุ่งโพลงขึ้นมาอีก ครั่นคิด “พรตเฒ่าคูชู่กีออกจะไร้น้ำใจ บิดาเราเมื่อตายแล้วไยต้องก่อตั้งป้ายประจานความผิดอีก

บิดาเราไม่รักดีอย่างไร

เฮอะ ดีต่อจมูกโคเฒ่า ท่านมีประโยชน์อันใด เราไม่บุกสำนักช้วนจินเข่นฆ่าสังหารสักเที่ยวหนึ่งยากที่จะบรรยายความแค้นครานี้ได้”

พลางยกมือหมายฟาดไปยังป้ายหิน แต่ก็ได้ยินบนพื้นหิมะทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือบังเกิดเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมา สุ้มเสียงแปลกประหลาดนัก คล้ายเป็นมือดีชาวบู๊ลิ้มแต่ก็คล้ายปรากฏสัตว์ร้าย 2 ตัวติดตามมา

เสียงที่กระทบพื้นด้านซ้ายหนัก ด้านขวาเบา ผิดแผกแตกต่างไปจากปรกติ

มันบังเกิดความสงสัยใคร่รู้ จึงรั้งมือหยุดไม่กระแทกลงไปยังป้ายหิน เสียงนั้นยังมุ่งหน้ามายังศาลเจ้าทวนเหล็ก

จึงกลับเข้าศาลเจ้าซ่อนตัวอยู่หลังรูปปั้นผุโทรม

 

เสียงย่ำเท้าหยุดลงคล้ายกริ่งเกรงว่ามีศัตรูซุ่มซ่อนอยู่ในศาล ครึ่งหนึ่งจึงเดินเข้ามา เมื่อชะโงกไปมองเอี้ยก่วยแทบหัวร่อออกมา ที่แท้ผู้ที่เข้าสู่ศาลเจ้ามีทั้งสิ้น 4 คน

ทั้ง 4 ขาซ้ายเป๋ ต่างใช้ไม้เท้าค้ำยัน

บนไหล่ขวามีโซ่เหล็กร้อยพันธนาการเข้าด้วยกัน ดังนั้น ขณะเคลื่อนไหวส่งผลให้ไม้เท้าทั้ง 4 กระทบพื้นโดยพร้อมเพรียง จากนั้นเท้าขวาทั้ง 4 ก็ก้าวออก

คนนำหน้าศีรษะล้านเลี่ยนมันระยับ แขนซ้ายขาดหายไปครึ่งหนึ่ง คนที่ 2 บนหน้าผากมีเนื้องอก 3 เนื้อ แขนซ้ายขาดด้วนเสมอศอก ทั้ง 2 ล้วนแต่พิการแล้ว พิการซ้ำ

คนที่ 3 รูปร่างเล็ก สันทัด คนที่ 4 กลับเป็นหลวงจีน สูงใหญ่

บุคคลทั้ง 4 ล้วนสูงวัย เอี้ยก่วยเกิดความประหลาดใจ ครุ่นคิดสงสัย “คนทั้ง 4 มีความเป็นมาอย่างไร เหตุใดฝากชีวิตให้แก่กันอย่างนี้”

ยิ่งพิศมองยิ่งพิศวง เห็นคนศีรษะล้านนำหน้าล้วงหินเหล็กไฟออกมาตีชุดหนึ่ง จ่อติดเทียนไข จึงชัดถนัดตาว่า นอกจากบุคคลแรกแล้ว ที่หลงเหลืออีก 3 คนมีแต่เบ้าตาแต่หามีลูกตาไม่ ยามนั้นเข้าใจในบัดดลเกิดบทสรุป

“ที่แท้คนทั้ง 3 ต้องพึ่งพาคนศีรษะล้านนำทาง”

 

อย่าได้แปลกใจหากชายชราศีรษะล้านยกเทียนไขชูขึ้น สำรวจตรวจสอบไปยังหน้าและหลังศาลเจ้าทวนเหล็ก

พวกมันคล้ายปูพวงหนึ่ง คนแรกติดตามคนหลังห่างกันไม่ถึง 3 เชี่ยะ

อย่าว่าแต่คนทั้ง 4 นี้เคลื่อนไหวไม่สะดวกและมีเพียงคนเดียวที่มองเห็น ต่อให้ทั้ง 4 มีหูตาปราดเปรียว มือเท้าว่องไว ก็ค้นหาเอี้ยก่วยไม่พบ

ทั้ง 4 พอสำรวจตรวจสอบก็กลับเข้ามา ชายศีรษะล้านจึงกล่าว

“กัวเล่าเท้า (เฒ่าแซ่กัว) ไม่ได้แพร่งพรายร่องรอยพวกเรา หากแม้นเขานัดหมายผู้ช่วยย่อมต้องหมอบซุ่มอยู่ที่นี่ก่อน”

นี่ย่อมสัมพันธ์กับกัวติ่งอัก พี่ใหญ่ของ 7 ประหลาดแดนกังหนำ