ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์ /REPLICAS

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

REPLICAS

‘อมตภาพ’

 

กำกับการแสดง Jeffrey Nachmanoff

นำแสดง Keanu Reeves Alice Eve Thomas Middleditch John Ortiz

 

แนวคิดว่าด้วยวิทยาศาสตร์กับความปรารถนาในอมตภาพของมนุษย์กลับมาอีกครั้งในรูปแบบของหนังระทึกขวัญและไล่ล่าในรูปธริลเลอร์

น่าจะดีอยู่หรอก ถ้าทำออกมาได้ดีและคุมเกมอยู่มือ

แต่เท่าที่ออกมา คือ Replicas เละเทะไม่ได้เรื่อง ถึงขั้นที่ต้องนึกถามว่า “เอาจริงเหรอเนี่ย” เหมือนกับฤๅษีแปลงสาร ได้สารมาอย่าง แต่จะเอาไปส่งให้อีกคน ก็แปลงสารให้เป็นเรื่องอื่นไปเสียงั้นแหละ

ประเด็นใหญ่ในเรื่องจึงผันแปรเบี่ยงเบนและหักเหกลายเป็นอื่นไปเสียง่ายๆ

 

ว่ากันจริงๆ คือ Replicas พยายามเป็นมากกว่าที่สมมติฐานอันใหญ่โตเหนือมนุษย์เดินดินจะเป็นได้

สมมติฐานนั้นก็เหมือนกับเรื่องแฟรงเกนสไตน์ ที่มีนักวิทยาศาสตร์พยายามทำตัวเป็นพระเจ้า โดยสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่

ผิดแต่ว่าสมัยนั้น วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้ามาถึงขั้นยุคคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้น แฟรงเกนสไตน์ที่เกิดมีชีวิตขึ้นจากมือมนุษย์จึงเป็นผลผลิตของชิ้นส่วนต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่เอามาปะเย็บต่อเข้าด้วยกันใหม่ กลายสภาพเป็นผีดิบเดินได้

Replicas ก็พยายามทำแบบเดียวกัน แต่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย ตามแบบในหนังหลายเรื่อง เหมือนอย่างจอห์นนี่ เดปป์ ทำใน Transcendence ที่พยายามเสนอไอเดียของการถ่ายโอนสติสัมปชัญญะของมนุษย์ลงสู่คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

พอเอาเข้าจริง ในมือของทีมงานที่ขาดแคลนฝีมือ Replicas เลยออกมาสะเปะสะปะ มะงุมมะงาหราอยู่ในความมืดสลัว มองหาแสงสว่างไม่เจอ

ครั้นพอตอนหักจบแบบเซอร์ไพรส์เอ็นดิ้ง ก็เล่นสาดแสงสว่างสาดจ้าเข้าตาคนดูจนกลายเป็นเรื่องเพ้อฝันแบบโรแมนติก เอาใจคนดูที่อยากให้พระเอาชนะแบบตะบี้ตะบัน ไม่ต้องนึกถึงอะไรอื่นกันละ…

ไอเดียนี้ในมือของคนเขียนบทเก่งๆ ผู้กำกับฯ ดีๆ และนักแสดงที่เล่นหนังเป็นขนาดพอใช้ได้ น่าจะทำให้กลายเป็นผลงานที่ตราตรึงน่ากล่าวขวัญถึงได้

แต่เท่าที่เป็นอยู่ ต้องขอแสดงออกด้วยเสียงถอนใจดังๆแบบหนักอกหนักใจ…ไม่รู้จะเอาใจช่วยได้ยังไง… เพียงครั้งเดียว

เฮ้อ!… น่าเสียดาย อุตส่าห์มีไอเดียใหญ่โต แต่ทำออกมาได้แค่ระดับธริลเลอร์หวือหวาเท่านั้น

 

วิลล์ ฟอสเตอร์ (คีอานู รีฟส์) เป็นนักวิทยาศาสตร์ประสาทวิทยา เขาทำงานให้หน่วยงานของรัฐชื่อ ไบโอไนน์ ที่อยู่ในเปอร์โตริโก และภารกิจหลักของหน่วยงานนี้คือ การดึงเอาสติปัญญาและสัมปชัญญะออกจากร่างของผู้เสียชีวิต และนำไปถ่ายโอนใส่ร่างสังเคราะห์ หรือเรียกง่ายๆ คือร่างของหุ่นยนต์

ปฏิบัติการทดลองครั้งล่าสุดของวิลล์ในหน่วยงานนี้ เฉียดใกล้จะเรียกว่าเป็นความสำเร็จสุดยอดอยู่แล้ว โดยที่ร่างของทหารเสียชีวิตได้รับการดึงเอา “แผนที่ระบบประสาท” ออกได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ทันเวลา และนำเข้าปลูกถ่ายในร่างหุ่นยนต์แบบที่เราเห็นอยู่ทั่วไป ประมาณแม้นเหมือน 3CPO ใน Star Wars ก็ว่าได้

ครั้นพอความรับรู้หรือสติสัมปชัญญะที่ยังครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีอะไรบุบสลายของมนุษย์ เข้าไปอยู่ในร่างโลหะสังเคราะห์ ก็เกิดอาการไม่ยอมรับและอาละวาดใหญ่โต เหมือนกับผู้บริจาคและผู้รับเข้ากันไม่ได้ จึงปฏิเสธการปลูกถ่ายนั้นเป็นพัลวัน

ผลคือใกล้ความสำเร็จเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ก็ต้องเรียกว่ายังล้มเหลวอยู่

 

ในภาวะกดดันที่วิลล์โดนยื่นคำขาดจากผู้บังคับบัญชาว่า ถ้าไม่มีผลสำเร็จเป็นรูปธรรมให้เห็น หน่วยงานนี้ก็จะต้องถูกยุบ เพราะกินงบประมาณไปไม่รู้จักเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่ยังไม่เห็นผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย

วิลล์วางแผนไปพักผ่อนกับครอบครัว ที่มีภรรยาสาว โมนา (อลิศ อีฟ) ลูกสาวสองและลูกชายหนึ่ง โดยฝากบ้านไว้กับผู้ร่วมงานรุ่นน้อง เอ็ด วิตเทิล (โธมัส มิดเดิลดิตช์) ที่ให้ยืมเรือไปขับเล่นกลางทะเล

แต่โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แหม…คนเก่งกาจฉลาดเฉลียวขนาดปรารถนาจะทำตัวเป็นพระเจ้า แต่ไม่รู้จักตรวจตราในเรื่องง่ายๆ ที่สมควรต้องดูตาม้าตาเรือเสียก่อนในชีวิตจริง คือเช็กพยากรณ์อากาศเสียก่อนการไปพักผ่อนด้วยการแล่นเรือออกทะเล

ท่ามกลางฝนฟ้าอากาศวิปริตจนต้นไม้ล้มโค่นขวางทาง วิลล์ขับรถพาครอบครัวไปสู่ความตายแบบเทกระจาด มีเขาเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้แบบไม่บุบสลาย

และในความเศร้าเสียใจอย่างที่สุด วิลล์ก็จับแพะมาชนแกะ จับสองมาบวกสอง รีบโทรศัพท์สั่งงานลูกน้องคนสนิทให้ขโมยอุปกรณ์ราคาแพงลิ่วจากห้องแล็บออกมาไว้ใต้ถุนบ้านของตัวเองหน้าตาเฉย

แถมลูกน้องก็ยังเชื่อฟังคำสั่งอันไม่เข้าท่าของลูกพี่เสียด้วย

ไม่ต้องคิดถึงเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ของแผนการบ้าบิ่นนี้เลย

วิลล์จัดการ “ชุบชีวิต” ลูกเมียให้ฟื้นคืนมาสู่ร่างใหม่ โดยมีอุปสรรคอยู่ประปราย และที่เป็นความท้าทายใหญ่หลวง คือเขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหายากเย็นของการเลือกสมาชิกสุดที่รักในครอบครัว เนื่องจากมีอุปกรณ์ชุบชีวิตใหม่ได้เพียงสามคน แต่วิลล์สูญเสียครอบครัวไปสี่คน

ทางเลือกตรงนี้ใหญ่หลวงนัก และเขาก็ทำเช่นเดียวกับมนุษย์อีกหลายล้านคน เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาสิ้นคิด นั่นคือ ปล่อยให้พระเจ้าเป็นคนเลือก

นั่นคือการเสี่ยงทาย

ปัญหาการทำโคลนนิ่ง ดึงแผนที่ระบบประสาทออกจากร่างที่เสียชีวิต และถ่ายโอนสติสัมปชัญญะสู่ร่างจำลอง ก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว แต่วิลล์ยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหารุมเร้ารอบตัวของการต้องปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด ไม่เพียงแต่จากหน่วยงานที่เขาทำงานให้ แต่จากเพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงานของภรรยา เพื่อนฝูงของลูกสาวลูกชาย ครูที่โรงเรียน ตำรวจที่มาสืบถาม ฯลฯ สารพัดละค่ะ

และที่หนังแทบไม่ได้พาดพิงถึงเลย คือ ความลับของเขาอาจแปรไปสู่เรื่องของฆาตกรรม การกำจัดหลักฐาน และการปกปิดร่องรอย ซึ่งเป็นอาชญากรรมขั้นอุกฉกรรจ์ได้

 

ตรงนี้เป็นจุดอ่อนของการเขียนบทที่ทะเยอทะยานมากเกินไปจนไม่ไปไหนสักทาง ภรรยาของวิลล์เป็นหมอ และในช่วงแรกเธอมีบทสนทนาถกเถียงกับสามีในปัญหาเรื่องจริยธรรมของการทำตัวเป็นพระเจ้านี้ แต่หนังก็ทิ้งเรื่องนี้ไปเสียดื้อๆ และหันเหทิศทางไปสู่การเป็นธริลเลอร์ระทึกขวัญ

ส่วนเรื่องการที่สติสัมปชัญญะจะยอมรับร่างใหม่ หรือเรื่องของการลบความทรงจำอันจะนำมาซึ่งความปวดร้าว การติดตามสืบหาของฝ่ายบ้านเมือง และการที่อยู่ดีๆ หน่วยงานความมั่นคงของรัฐบาลอเมริกัน ก็เปลี่ยนโฉมหน้ากลายเป็นผู้ร้ายเสียดื้อๆ การหักหลัง ชีวิตส่วนตัวในแวดวงเพื่อนฝูงที่ทำงานที่โรงเรียนของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ

และที่สำคัญคือ ปัญหาที่ใหญ่ยิ่งในเชิงอภิปรัชญาเบื้องหลังเรื่องราวการที่มนุษย์ทำตัวเป็นพระเจ้านี้ ไม่ได้มีการพูดถึงเลย

มนุษย์เราเป็นแค่การทำงานของระบบประสาทที่สั่งงานอยู่ในตัวเราเท่านั้นหรือ เมื่อร่างกายสูญสลายไป เราสามารถยกระบบประสาททั้งระบบไปสั่งงานในร่างใหม่ได้หรือ ฯลฯ

แต่เรื่องราวหักจบเอาง่ายๆ แบบที่ให้มีแฮปปี้เอ็นดิ้ง เพียงเพื่อเอาใจคนดูให้เกิดความสบายใจว่าทั้งหลายทั้งปวงแล้วพระเอกก็เป็นฝ่ายชนะในที่สุด

พระเอกต้องเป็นพระเอกวันยังค่ำ โดยไม่คำนึงถึงปัญหาศีลธรรม จริยธรรม หรือสิ่งอื่นใดเลย

 

 

ผู้เขียนไม่ได้เอาใจช่วยฝ่ายพระเอกมาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เนื่องด้วยการกระทำที่ไร้หัวคิด ไร้จรรยาบรรณมาตั้งแต่แรก

พอมาถึงตอนจบ จึงไม่ช่วยทำให้ผู้เขียนสบายใจเลย เนื่องจากยังมีประเด็นอีกมากมายมหาศาลที่ทิ้งค้างคาไว้

ไม่ได้อยากคิดมากหรอกค่ะ ถ้าเผื่อหนังวางตำแหน่งไว้ในความบันเทิงแบบไร้สมอง เล่นเอามันส์กันลูกเดียว แต่ครั้นมีความพยายามใส่สมองลงไปบ้าง ก็กลับไม่ใส่ให้ครบถ้วนกระบวนความเสียยังงั้นแหละ แค่แตะผ่านให้เห็นปัญหา แต่ไม่พาเราไปให้ลุล่วงถึงที่หมาย

จึงเป็นแค่หนังประเภทหลีกหนีธรรมดาสามัญที่ดูเพียงผ่านๆ เท่านั้น

ดูแล้วหงุดหงิดไม่ได้ดังใจเลยค่ะ