จรัญ มะลูลีม : ศาสดาในยามป่วยหนัก

จรัญ มะลูลีม

หลังจากนี้อาการป่วยและความเจ็บปวดของศาสดาก็เพิ่มขึ้น ไข้ของท่านขึ้นมาจนภริยาและผู้รับใช้ของท่านอาจรู้สึกได้ด้วยการแตะผ้าห่มที่ห่มท่านอยู่

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์บุตรีของท่านซึ่งท่านรักอย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นบุตรคนเดียวที่เหลืออยู่ของท่านได้มาเยี่ยมท่านทุกวัน

เมื่อใดก็ตามที่นางเข้ามาในห้องศาสดาก็จะร้องไห้ จุมพิตนางและให้เก้าอี้ของท่านเองให้นางนั่ง

วันหนึ่งเมื่อนางเข้ามาในห้อง ท่านก็ทักทายนางโดยกล่าวว่า “เชิญซิ ลูกเอ๋ย” แต่นางเองเป็นผู้จุมพิตท่าน ท่านได้ขอให้นางนั่งลงข้างๆ ท่านที่บนเตียงและกระซิบกับนางสองครั้ง ครั้งแรกทำให้นางร้องไห้ และครั้งหนึ่งทำให้นางหัวเราะ

อาอิชะฮ์พยายามจะรู้ว่าศาสดาพูดอะไร แต่ฟาฏิมะฮ์ก็ไม่ยอมบอกสิ่งที่นางถือว่าเป็นความลับ หลังจากศาสดาสิ้นชีวิตแล้วเท่านั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์จึงได้เปิดเผยว่าตอนนั้นท่านพูดอะไรกับนาง

คือตอนแรกท่านบอกว่าท่านจะต้องตายเพราะโรคนั้น ซึ่งทำให้นางร้องไห้

ตอนหลังท่านบอกว่านางจะเป็นสมาชิกคนแรกของท่านที่ได้ไปพบกับท่านหลังจากสิ้นชีวิตแล้ว ซึ่งทำให้นางยิ้มออกมา

 

เพื่อจะทำให้พิษไข้ของท่านเย็นลง ศาสดามุฮัมมัดได้เอามือจุ่มลงในภาชนะที่ตั้งอยู่ข้างเตียงของท่านซึ่งจะถูกเติมน้ำเย็นๆ ลงไปอยู่เสมอ แล้วเอามาเช็ดหน้าของท่าน

ในบางครั้งบางคราว พิษไข้สูงก็ทำให้ท่านชักกระตุก เมื่อหายจากไข้สูงเป็นระยะๆ ท่านแอบได้ยินฟาฏิมะฮ์บุตรีของท่านพูดด้วยความเศร้าอย่างลึกล้ำว่า

“โอ้ คุณพ่อของฉันต้องได้รับความเจ็บปวดอย่างเหลือเกิน!”

พอได้ยินดังนี้ ศาสดามุฮัมมัดก็พูดว่า “หลังจากวันนี้แล้วพ่อของเจ้าก็จะไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว”

ซึ่งหมายความว่าท่านจะไปพบพระผู้เป็นเจ้าของท่านก่อนจะสิ้นวัน

ด้วยความเป็นห่วงที่จะทำให้ความเจ็บปวดของท่านเบาบางลง บรรดามิตรสหายจึงได้เตือนท่านว่า ท่านเคยบอกกับพวกเขา ว่าเวลาเจ็บป่วยจงอย่าบ่นไป ท่านจึงขอโทษพวกเขาและบอกว่าความเจ็บปวดของท่านนั้นมากกว่าคนสองคนจะทานได้เสียอีก

ในขณะที่พิษไข้กำลังขึ้นสูงและล้อมรอบด้วยผู้ที่มาเยี่ยมเยียน ท่านได้ขอให้เอากระดาษ ปากกาและหมึกเข้ามา ท่านบอกว่าท่านจะบอกคำบอกอะไรบางอย่างเพื่อประโยชน์ของสาวกของท่าน เพื่อยืนยันกับพวกเขาว่า ถ้าพวกเขายึดมันไว้ พวกเขาก็จะไม่มีวันหลงทางได้เลย

คนบางคนในที่นั้นก็คิดว่าเนื่องจากศาสดากำลังป่วยหนัก และเนื่องจากชาวมุสลิมก็มีกุรอานอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องมีการเขียนอะไรเพิ่มเติมอีก

เล่ากันว่าความคิดเช่นนี้เป็นของอุมัร คนที่อยู่ในที่นั้นมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน บางคนก็ต้องการจะนำเครื่องเขียนเข้ามาและจดสิ่งที่ศาสดาต้องการพูดลงไป

ส่วนบางคนก็คิดว่าการเขียนสิ่งอื่นลงไปนอกจากพระมหาคัมภีร์แล้วจะกลายเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น

ศาสดามุฮัมมัดจึงขอให้พวกเขาออกไปให้หมด โดยพูดว่า “ไม่เป็นการดีเลยที่พวกท่านจะมาขัดกันอยู่ต่อหน้าฉัน”

อิบนุ อับบาส รู้สึกเป็นห่วงว่าพวกเขาอาจจะพลาดอะไรที่สำคัญยิ่งไปก็ได้ถ้าไม่รีบนำเอาเครื่องเขียนเข้ามา

ในขณะที่อุมัรก็ยังยืนยันความคิดของเขาอยู่ว่า “ในพระมหาคัมภีร์ เรามีทุกอย่างอยู่แล้วโดยไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก”

 

ในขณะที่ข่าวเรื่องสุขภาพอันทรุดโทรมของศาสดาแพร่หลายออกไป อุสามะฮ์กับพวกคนสนิทของเขาจำนวนหนึ่งก็ได้ออกจากค่ายพักที่อัลญุรฟ์มายังนครมะดีนะฮ์เพื่อดูให้แน่ใจในเรื่องสุขภาพของศาสดา อุสามะฮ์เข้ามาในบ้านของท่านหญิงอาอิชะฮ์ด้วยอาการพูดไม่ออก เมื่อศาสดาแลเห็นอุสามะฮ์เข้า ท่านก็ยกมือขึ้นไปทางท้องฟ้าก่อนจะวางลงบนไหล่ของอุสามะฮ์เป็นเครื่องหมายว่าให้ละหมาดแก่ท่านด้วย

ในขณะนั้นสมาชิกในครอบครัวของศาสดาเห็นควรที่จะให้ยาศาสดารับประทาน ยานี้อัสมาซึ่งเป็นญาติของมัยมูนะฮ์เรียนวิธีปรุงมาในขณะที่นางยังอยู่ในอบิสสิเนีย (เอธิโอเปีย) เมื่อเห็นศาสดากำลังไม่รู้สึกตัว พวกเขาก็ถือโอกาสรินยาเข้าไปในปากของท่าน พอได้สติขึ้นมาใหม่ ศาสดาก็ถามว่าใครให้ยาท่านและทำไมจึงให้

อัลอับบาส ลุงของศาสดาจึงอธิบายว่าพวกเขาปรุงยาขึ้นและให้ท่านรับประทานเพราะเกรงว่าท่านจะเป็นโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ

ศาสดาจึงพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงให้ฉันเป็นโรคนั้นหรอก” แล้วท่านก็สั่งให้ทุกคนในบ้านชิมยานั้นยกเว้นแต่อัลอับบาส

แม้กระทั่งมัยมูนะฮ์ ซึ่งตอนนั้น กำลังถือศีลอดก็ยังถูกบังคับให้ชิม

 

ตอนที่ล้มป่วยลงใหม่ๆ นั้น ศาสดามุฮัมมัดมีเงินอยู่ที่บ้านเจ็ดดินาร์ ท่านเกรงว่าท่านอาจจะสิ้นชีวิตไปในขณะที่ท่านยังมีเงินอยู่ ดังนั้น ท่านจึงสั่งญาติของท่านให้เอาเงินนั้นไปให้คนยากจนเสีย

อย่างไรก็ตาม เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับความเจ็บป่วยของท่านและการรักษาพยาบาล รวมทั้งมัวแต่เป็นกังวลเรื่องสุขภาพของท่านที่กำลังทรุดโทรมลง พวกเขาจึงลืมทำตามคำสั่งของท่าน

เมื่อท่านได้สติขึ้นมาในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านก็ได้ถามว่าพวกเขาเอาเงินไปให้คนยากจนแล้วหรือยัง

อาอิชะฮ์ตอบว่าเงินนั้นยังอยู่กับนาง ท่านจึงขอให้นางเอามันมาวางในฝ่ามือของท่านและพูดว่า “ถ้ามุฮัมมัดจะไปพบพระผู้เป็นเจ้าในสภาพนี้จะเป็นอย่างไร?” เงินนั้นจึงถูกยกให้แก่คนยากจนไป

ศาสดามุฮัมมัดนอนหลับในตอนกลางคืนได้อย่างสงบและไข้ของท่านก็ดูเหมือนจะลดลง ดูราวกับว่ายาที่ญาติของท่านปรุงให้ท่านรับประทานนั้นมีผลช่วยบรรเทาโรคของท่านลงได้บ้าง

ในตอนเช้าท่านถึงกับลุกไปมัสญิดได้ ทั้งๆ ที่ยังต้องพันศีรษะไปและต้องให้อะลี อิบนุ อะบี ฏอลิบกับอัลฟัฎล์ อิบนุลอับบาส พยุงไป

เมื่อตอนที่ศาสดาเข้าไปในมัสญิดนั้น อะบูบักร์กำลังละหมาดอยู่ เมื่อเห็นศาสดาเข้ามา ผู้คนก็ดีใจกันจนเกือบจะลืมละหมาดไป อะบูบักร์ขึ้นเสียงดังขึ้นอีกเป็นเชิงเตือนให้ละหมาดไป อย่าให้ถูกขัดจังหวะ

ศาสดามุฮัมมัดรู้สึกพอใจมากกับสิ่งที่ท่านได้แลเห็นและอะบูบักร์ก็ทราบดีว่าผู้คนจะไม่เฉไฉจากการละหมาดด้วยการมาถึงของบุคคลใดก็ตาม ในขณะที่ศาสดามุฮัมมัดเข้ามาใกล้อะบูบักร์เพื่อจะร่วมละหมาดนั้น อะบูบักร์ก็ได้ถอยออกไปจากที่ของผู้นำละหมาดเพื่อให้ศาสดาเข้ามาแทน อย่างไรก็ตาม ศาสดาก็ได้ดันเขากลับไปที่เดิมพร้อมกับบอกว่า “ท่านนำต่อไปเถิด” แล้วท่านก็นั่งลงข้างอะบูบักร์และท่านละหมาดท่านั่ง

เมื่อละหมาดเสร็จแล้วท่านก็เข้าร่วมวงชุมนุมและพูดด้วยเสียงแจ่มใสซึ่งดังออกมาจนถึงข้างนอกมัสญิด

 

ท่านพูดว่า

“โอ้ผู้คนทั้งหลาย ไฟนรกนั้นพร้อมแล้ว การโจมตีอย่างจะทำลายล้างกำลังพุ่งมาข้างหน้าเหมือนดังลูกคลื่นแห่งความมืด ด้วยพระนามแห่งพระผู้เป็นเจ้า ฉันจะไม่ต้องรับผิดชอบสำหรับสิ่งนี้ ฉันไม่เคยอนุญาตให้ทำสิ่งใดนอกจากสิ่งที่กุรอานทำให้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และฉันไม่เคยสั่งห้ามสิ่งใดซึ่งกุรอานมิได้สั่งห้าม การสาปแช่งของพระผู้เป็นเจ้าย่อมตกอยู่แก่บรรดาผู้ที่ถือเอาหลุมฝังศพเป็นมัสญิด”

ชาวมุสลิมต่างพากันปีติยินดีเป็นล้นพ้นเมื่อได้เห็นศาสดามีสุขภาพดีขึ้น จนอุสามะฮ์ อิบนุ ซัยด์ ถึงกับขออนุญาตเดินทัพไปยังอัชชาม แม้กระทั่งอะบูบักร์ก็ก้าวออกมาข้างหน้าและพูดว่า

“โอ้ศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้า แลเห็นได้ชัดแล้วว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงอวยพรให้ท่านและทรงให้สุขภาพที่ดีแก่ท่านเหมือนอย่างที่พวกเราปรารถนาและขอวิงวอนให้ ข้าพเจ้าได้สัญญากับบุตรสาวของคอริญะฮ์ (หมายถึงภริยาของเขาเอง) ว่าจะไปอยู่กับนาง ฉะนั้น จึงขออนุญาตปลีกตัวไปก่อนได้ไหม?”

ศาสดาก็อนุญาตให้เขาไป อะบูบักร์จึงไปที่ตำบลอัช ซุนห์ ซึ่งอยู่ที่ชานนครมะดีนะฮ์ อันเป็นที่ที่ภริยาของเขาพำนักอยู่

อุมัรและอะลีก็กลับไปทำธุรกิจตามเคยของเขา

ชาวมุสลิมต่างก็แยกย้ายกันไปด้วยความยินดีและความสุขหลังจากที่ผ่านความทุกข์โศกมาเพราะข่าวการล้มป่วยของศาสดามุฮัมมัด

ศาสดาได้กลับไปยังบ้านของท่านหญิงอาอิชะฮ์ด้วยความสุขที่ได้เห็นเพื่อนๆ มุสลิมของท่านซึ่งเข้ามาหาท่านเต็มมัสญิดและรออยู่อย่างวิตกกังวลเพื่อฟังข่าวของท่าน คนเหล่านั้นได้มีความสุข แต่ท่านก็รู้สึกค่อนข้างจะอ่อนเพลีย

ท่านหญิงอาอิชะฮ์ช่วยพยุงสามีของนางเข้ามาข้างในด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเห็นอกเห็นใจ หวังว่านางจะสามารถมอบชีวิตและกำลังกายของนางเองเพื่อทดแทนให้แก่แรงกายที่ถดถอยไปมากของท่าน