อนาคตมือถือของเราจะรู้จักเรา มากกว่าเรารู้จักตัวเองเสียอีก

“ช้อปปิ้ง ไร้คนขับ”

“สวัสดี กวีวุฒิ ยินดีต้อนรับสู่เอไอ ซูเปอร์มาร์เก็ตนะ”

มันเป็นความรู้สึกดีทุกครั้ง เวลาที่ผมเข้ามาซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้

แล้วได้ยินเจ้ารถเข็นที่ผมเพิ่งดึงออกมาจากที่เก็บส่งเสียงทักทาย เรียกชื่ออย่างเป็นกันเอง

เซ็นเซอร์ที่อยู่ตรงที่จับ ได้ทำการสแกนใบหน้าของผม

และจำผมได้ว่า ผมจะต้องซื้ออะไรเป็นประจำทุกสัปดาห์

ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะต้องซื้ออะไรบ้างสัปดาห์นี้

ที่หน้าจอเล็กๆ บนที่จับของรถเข็นก็มีรายการซื้อของประจำของผมปรากฏให้เห็น

มะเขือเทศ ผักกาดขาว นมพร่องมันเนย โยเกิร์ตรสสตรอว์เบอร์รี่

ที่จริงแล้วตู้เย็นที่บ้านของผมก็มีเซ็นเซอร์พิเศษ

บอกได้ว่า ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรสต่างๆ ขวดไหนที่หมดแล้ว

และได้ทำการ “สั่งซื้อ” ผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นที่เรียบร้อย

ระหว่างที่คุณเข็นเจ้ารถเข็นอัจฉริยะไปเรื่อยๆ

มันก็ส่งเสียงให้คำแนะนำ

“จากข้อมูลของรายการอาหารที่คุณซื้อประจำ

และรายการของที่คุณได้สั่งซื้อผ่านจากตู้เย็นที่บ้านแล้ว

ร่างกายของคุณน่าจะต้องการไฟเบอร์เพิ่มเติมสำหรับฤดูกาลนี้

คุณอยากจะซื้อถั่วอัลมอนด์สักกล่องหนึ่งมั้ย”

ได้ยินดังนั้น คุณจึงตอบตกลงกับเจ้ารถเข็น

รถเข็นวิ่งอัตโนมัติอยู่ใกล้ๆ คุณ โดยที่ไม่ต้องเข็น

คุณเลือกของที่ต้องการ หยิบใส่ในรถเข็นทีละชิ้น ทีละชิ้น

หน้าจอก็ค่อยๆ ขึ้นราคาสินค้าที่ผมเติมเข้าไปในรถเข็น

พร้อมกับขีดค่าสิ่งของที่คุณหยิบใส่รถเข็นเป็นที่เรียบร้อย

ผมแค่ต้องไปซื้อของให้ครบตามช่องต่างๆ ของซูเปอร์มาร์เก็ต

เมื่อคุณเดินผ่านไปที่มุมไวน์ชั้นเลิศ

พนักงานคนหนึ่งยืนฉีกยิ้ม พร้อมเรียกชื่อคุณ

“สวัสดีครับ คุณกวีวุฒิ

วันนี้เรามีไวน์รุ่นใหม่จากแคลิฟอร์เนียมานำเสนอครับ

ผมเข้าใจว่า วันเกิดของภรรยาคุณจะสัปดาห์หน้าแล้ว

เราอยากจะให้ส่วนลดคุณ 10% เพื่อนำไวน์กลับไปฉลองกับภรรยาของคุณ”

เจ้าคนขายคนนี้รู้ว่าผมชอบดื่มไวน์จากแคลิฟอร์เนีย

ผมจึงตัดสินใจซื้อมาอย่างเสียมิได้

พนักงานต้อนรับตามมุมต่างๆ รู้จักผมเป็นอย่างดี

การพูดคุยต่างๆ ทำให้รู้สึกสบายใจว่าไม่ถูกบังคับซื้อ

แต่เป็นการห่วงใยในเรื่องบางเรื่องที่ผมเองก็อาจจะลืมไปแล้ว

ข้อเสนอต่างๆ ตรงใจ และเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้รับ

ผมเดินมาถึงจุดที่จะต้องนำของในรถเข็นออกมาใส่ถุงกลับบ้าน

เซ็นเซอร์ก็เริ่มตรวจจับ เพื่อคิดเงินให้เสร็จสรรพ

พร้อมตัดเงินจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผมผูกไว้กับซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้อัตโนมัติ

ในช่วงระหว่างการเรียนการสอนที่โรงเรียน

คุณครูระดับประเทศคนหนึ่ง สอนเนื้อหาการเรียนรู้ผ่านอินเตอร์เน็ต

ซึ่งนักเรียนทุกคนในห้องเรียนสิ่งเดียวกัน

โดยมีครูอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องเรียนคอยสังเกต

และมีคอมพิวเตอร์ช่วยในการวิเคราะห์เด็กนักเรียน

จากกิริยาท่าทางต่างๆ ว่านักเรียนเข้าใจบทเรียนหรือไม่

พร้อมทั้งมีการทดสอบย่อยๆ หลายครั้ง ระหว่างที่ฟังการบรรยายผ่านอินเตอร์เน็ต

ข้อมูลเหล่านี้ถูกประมวลผล

และส่งให้กับคุณครูที่อยู่ในห้องเรียน

เพื่อที่ว่าในครึ่งหลังของคาบเรียน

คุณครูจะสามารถเข้าไปแนะนำนักเรียนได้อย่างถูกคน ถูกวิธี

เมื่อเด็กคนนี้กลับบ้าน

ข้อมูลของเด็กคนนี้จะไปดึงฐานข้อมูลการบ้านที่เหมาะสมกับระดับความเข้าใจ

ส่งมาให้เด็กคนนี้ทำถึงบ้าน

ด้วยจุดประสงค์ที่จะพัฒนาเด็กไปสู่จุดต่อไป

มิใช่การประเมินเพื่อแข่งขันกับใครๆ

ข้อมูลการเรียนต่างๆ ของเด็กคนนี้

ก็จะถูกนำส่งให้ผู้ปกครอง เพื่อตัดสินใจว่า

จะต้องมีการเรียน “เสริม” หรือไม่ เพราะเหตุใด

แล้วจึงนำข้อมูลนี้ไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลอาจารย์พิเศษ ซึ่งมีอยู่มากมาย

เด็กก็จะถูกจัดให้เรียนกับอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญในแบบที่เด็กต้องการ

มีคอมพิวเตอร์เบื้องหลังแนะนำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเด็กนักเรียน

การศึกษาจะเป็นเรื่อง “ส่วนบุคคล” ขึ้น

การแข่งขันกับผู้อื่นจะค่อยๆ หมดไป

เหลือเพียงการแข่งขันกับตัวเอง

เพื่อจะได้เข้ามหาวิทยาลัย หรืองานที่ตัวเองอยากทำ

แล้วก็มุ่งเก็บ “คะแนน” เพื่อสิ่งนั้นอย่างมีเป้าหมาย

ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ “ช้อปปิ้ง” หรือ “การศึกษา”

ปัญญาประดิษฐ์จะเป็นส่วนช่วยให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นได้

เทคโนโลยีสำคัญก็จริง

แต่ที่ขาดไม่ได้คือ “ความต้องการของลูกค้า” ที่ต้องการสิ่งที่แตกต่างกัน

ด้วยปริมาณข้อมูลเกี่ยวกับ “บุคคล” จำนวนมหาศาล

ความเป็น “ส่วนบุคคล” จะมีมากขึ้น

อนาคต มือถือของเราจะรู้จักเรา

ดีเสียกว่าเรารู้จักตัวเองเสียอีก

ไม่เชื่อก็รอดูกันต่อไป