เผยแพร่ |
---|
ทำไมนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีพันล้านจากนิวยอร์กรายนี้
ถึงน่าตกอกตกใจถ้าเข้าไปนั่งกุมทิศทางของประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา?
เหตุผลก็คือ นักรัฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองจำนวนหนึ่ง เห็นว่า ชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งในระดับการเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรค เรื่อยไปจนถึงชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปนั้นเป็นเครื่องสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมอเมริกัน การเปลี่ยนแปลงที่เมื่อวัดจากการรณรงค์หาเสียงที่ผ่านมาของทรัมป์แล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ทั้งน่าวิตก และน่ากลัวไปพร้อมๆ กัน
การผงาดขึ้นสู่ระดับ “หัวแถว” ทางการเมืองของนักการเมืองหน้าใหม่อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ นั้นถูกนักวิชาการกลุ่มนี้มองว่าเป็น “ผลลัพธ์” โดยตรงจาก “วิกฤตการณ์” ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องมายาวนานร่วมสองทศวรรษแล้ว
เป็นวิกฤตการณ์ที่ถูก “มองข้าม” มาโดยตลอดจากชนชั้นสูงและผู้คนในระดับหัวกะทิของสังคมอเมริกัน
ชัยชนะของทรัมป์ก็ดี การได้รับเสียงสนับสนุนมากเกินคาดหมายของ “เบอร์นี แซนเดอร์ส” ในการเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรคเดโมแครตก็ดี ล้วนแสดงให้เห็นถึงภาวะ “กบฏต่อความเป็นสถาบัน” ที่เกิดขึ้นในสังคมอเมริกันได้เป็นอย่างดี
เบอร์นี แซนเดอร์ส ทำให้คำว่า “สังคมนิยม” ยอมรับกันได้อีกครั้งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา แล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ เล่า?
เมื่อมองดูจากภายนอก สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาไม่ได้เลวร้ายเท่าใดนัก
เศรษฐกิจโดยรวมภายใต้การกำกับของ บารัค โอบามา ฟื้นตัวขึ้นมาขยายตัวอยู่ในระดับ 2.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา
อัตราว่างงานลดลงอยู่ในระดับ 5 เปอร์เซ็นต์
สหรัฐยังคงเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดประเทศหนึ่งของโลก
แต่เมื่อพิเคราะห์โดยละเอียด ข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่าความมั่งคั่งนั้นจำกัดอยู่เพียงแค่กลุ่มของเศรษฐีร้อยล้าน พันล้านเพียงไม่กี่มากน้อย กระจุกตัวอยู่จำเพาะในกลุ่มผู้ที่วิถีการดำรงชีวิตไม่ได้เชื่อมโยงกับผู้คนที่เหลือส่วนใหญ่ของประเทศ
นับตั้งแต่ปี 1999 เรื่อยมารายได้ถัวเฉลี่ยต่อครัวเรือนของคนอเมริกันลดลงมากถึง 5,500 ดอลลาร์ต่อปี ทรัพย์สินต่อครัวเรือนหดตัวลงราว 1 ใน 3 และสองในสามครัวเรือนอเมริกันตกอยู่ในสภาพเป็นหนี้สิน
นั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ในสังคมอเมริกันมี “ผู้ชนะ” อยู่ก็จริง แต่ที่มีสัดส่วนมากกว่ามากก็คือคนที่ตกอยู่ในสถานะ “ผู้แพ้” ในสังคม
เดนนิส ปราเกอร์ คอลัมนิสต์อนุรักษนิยม เขียนบทความแสดงความคิดเห็นผ่านบล็อกของตัวเองไว้เมื่อ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ะบุว่า สังคมอเมริกันกำลังตกอยู่ใน “ยุคมืด”
สถาบันหลักต่างๆ ในสังคมตกอยู่ในสภาพเสื่อมทรุด ตั้งแต่สถาบันการเมืองเรื่อยมาจนกระทั่งถึงสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย และแม้แต่ “สถาบันครอบครัว” ก็ถูกลดความสำคัญและความเชื่อถือลงตามลำดับ
นิวยอร์กไทมส์ บอกเอาไว้ว่า สัดส่วนคนที่เชื่อถือใน “อเมริกันดรีม” ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปี
ปราเกอร์ ชี้ว่า การที่จำเป็นต้องเลือกระหว่างแคนดิเดตประธานาธิบดีระหว่างคนอย่าง “ฮิลลารี คลินตัน” กับ “โดนัลด์ ทรัมป์” เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นความมืดมิดที่สุดของยุคมืดร่วมสมัยนี้
แอนดรูว์ ซัลลิแวน แห่ง “นิวยอร์ก แม็กกาซีน” เตือนเอาไว้ว่า สิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ทุนนิยมเกินขีด” ในช่วงผ่านมา กำลังก่อให้เกิด “พลังของการปฏิวัติเอียงขวาจากความกราดเกรี้ยวชนิดที่ความเป็นประชาธิปไตยไม่มีปัญญาระงับยับยั้งหรือบรรเทาเบาบางลงได้”
ในความเห็นของซัลลิแวน สิ่งที่สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ก็คือ อาการไข้ทางสังคมที่ยุโรปเคยเผชิญมาแล้วเมื่อทศวรรษ 1930 ซึ่งลงเอยด้วยสงครามโลกครั้งที่ 2
โรเบิร์ต แพ็กซ์ตัน นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญเรื่องฟาสซิสต์” ชี้ให้เห็นว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่เราได้เห็นกันในการหาเสียงของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “กำแพงตามแนวชายแดนเม็กซิโก” เรื่อยไปจนกระทั่งถึง “การห้ามมุสลิมเข้าประเทศ” คือการใช้การ “เหมารวม” เชิงชาติพันธุ์และการฉกฉวยประโยชน์จาก “ความกลัวต่างชาติ” ที่เป็น “สูตรสำเร็จ” จากตำราฟาสซิสม์โดยตรง
เขาตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สโลแกน “ทำอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง” ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากคำขวัญของขบวนการฟาสซิสต์ในอดีต
แพ็กซ์ตัน ระบุว่า สำนึกของการ “ตกเป็นเหยื่อ” เป็นเหตุปัจจัยที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเติบใหญ่และขยายตัวของลัทธิฟาสซิสม์ และเขาเชื่อว่าความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างแรงกล้าอยู่ในสหรัฐอเมริกาในเวลานี้ โดยเฉพาะในกลุ่ม “ชนชั้นกลางผิวขาว” ฐานเสียงสำคัญที่สนับสนุนคนอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์
ในข้อเขียนชิ้นหนึ่งของ “แอนดรูว์ ซัลลิแวน” แห่ง “นิวยอร์ก แม็กกาซีน” ถึงกับเปรียบเทียบสถานการณ์ในสหรัฐอเมริกาในเวลานี้กับสภาวะแวดล้อมที่เกิดขึ้นในสาธารณรัฐไวมาร์ ก่อนหน้าการกำเนิดขึ้นของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์!
เป็นอุปมาที่เกินเลยไปหรือไม่? ก็อาจใช่ เพราะถึงที่สุดแล้ว ทรัมป์ไม่ใช่ฟาสซิสต์ ไม่เคยแสดงออกว่าจะรื้อหรือยกเลิกรัฐธรรมนูญ
ปัญหาก็คือ มีใครการันตีได้ว่า ทรัมป์ เพียงแค่ “เล่น” กับองค์ประกอบแห่งฟาสซิสม์เพื่อหวังบรรลุถึงความฝันบรรเจิดของเขาเท่านั้นเอง?!