จรัญ มะลูลีม : ปัจฉิมบทมุฮัมมัด

จรัญ มะลูลีม

ศาสดามุฮัมมัดกับฮัจญ์อำลา

ในขณะที่ท่านอะลีบุตรเขยและลูกพี่ลูกน้องของท่านเตรียมตัวจะกลับมานครมะดีนะฮ์

ศาสดามุฮัมมัดก็กำลังเตรียมตัวจะเดินทางไปทำฮัจญ์และได้แนะนำให้สาวกของท่านทำดังนั้นด้วย

เดือนซุลกิอ์ดะฮ์กำลังจะจบลงแล้วและจะตามมาด้วยเดือนซุลฮิจญะฮ์ คือเดือนแห่งการทำฮัจญ์ จนกระทั่งตอนนั้นท่านศาสดายังไม่เคยประกอบพิธีฮัจญ์ให้เต็มพิธีเพื่อชาวมุสลิมจะได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม

ในทันทีที่ผู้คนได้รู้ข่าวว่าท่านศาสดาตั้งใจจะไปทำฮัจญ์ และได้ยินคำเรียกร้องของท่านให้เดินทางไปทำฮัจญ์กับท่านด้วย

ทั่วทั้งคาบสมุทรก็สะท้านสะเทือนไปด้วยเสียงเรียกร้องนี้

ผู้คนจำนวนแสนๆ คนจากทั่วทุกมุมคาบสมุทรก็หลั่งไหลมายังนครมะดีนะฮ์

จากทุกเมืองทุกหมู่บ้านจากทุกขุนเขาทุกหุบผา

จากที่ราบทุกแห่งและทะเลทรายที่ทอดข้ามคาบสมุทรอันกว้างใหญ่

ผู้คนพากันเดินทางมาเพื่อไปประกอบพิธีฮัจญ์

ดูราวกับว่าแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ได้ถูกทำให้สว่างไสวรุ่งโรจน์ไปด้วยแสงสว่างอันพร่างพรายของพระผู้เป็นเจ้าและศาสดาของพระองค์กระนั้น

กระโจมได้ถูกวางไว้รอบๆ นครมะดีนะฮ์เพื่อเป็นที่พักของผู้มาเยือนใหม่ๆ ทั้งหลายซึ่งมีจำนวนถึงแสนคนหรือมากกว่านั้นซึ่งได้ลุกขึ้นตอบรับคำเรียกร้องของศาสดาของพวกเขา

มุฮัมมัดศาสนทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้า-ขอความสันติและพรของพระองค์จงประสบแด่ท่าน ผู้คนทั้งหลายเหล่านี้มาในแบบที่เป็นพี่เป็นน้องกัน มาด้วยความรักและความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน

และมารวมกันอยู่ในพันธะอันแท้จริงแห่งมิตรภาพและภราดรภาพของอิสลาม

ทั้งๆ ที่เมื่อปีกลายนี้พวกเขายังเป็นศัตรูที่ร้ายกาจต่อกันอยู่ คนนับแสนๆ คนเหล่านี้เดินไปมาอยู่ตามถนนของนครมะดีนะฮ์

ทุกคนล้วนแต่ยิ้มแย้มเพราะความศรัทธา เพราะความแน่ใจมั่นใจ และความไว้วางใจ อีกทั้งความภาคภูมิในศาสนาอันแท้จริงนี้

การมาชุมนุมกันของพวกเขานั้นคือประจักษ์พยานอันน่าประทับใจของชัยชนะแห่งสัจธรรมแห่งแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งสาดส่องไปอย่างกว้างขวาง และแห่งพันธะอันลึกล้ำของความจริงแท้และความเที่ยงธรรมซึ่งได้เชื่อมผสานพวกเขาไว้ด้วยกัน

จนพวกเขายืนหยัดอยู่เสมือนป้อมปราการอันใหญ่หลวงป้อมหนึ่ง

 

ชาวมุสลิมเดินขบวนไปประกอบพิธีฮัจญ์

ในวันที่ยี่สิบห้าเดือนซุลกิอ์ดะฮ์แห่งปี ฮ.ศ.10 ศาสดามุฮัมมัดก็ออกเดินทางไปยังนครมักกะฮ์พร้อมด้วยภริยาทั้งหมดของท่าน

แต่ละนางขึ้นรถของตนเอง มีขบวนคนมากมายมหาศาลติดตามท่านไปถึง 90,000 คน ตามที่นักประวัติศาสตร์บางท่านว่าไว้

บางคนก็ว่ามีถึง 114,000 คน

ผู้คนเหล่านี้ออกเดินทางไปด้วยสติที่ซาบซึ้งอย่างลึกซึ้งด้วยความศรัทธา ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มปีติและพอใจในการที่จะได้เดินทางไปทำพิธีฮัจญ์ยังสักการสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า

พวกเขาไปถึงซุลหุลัยฟะฮ์ในตอนค่ำ และพักค้างคืนอยู่ที่นั่นไปถึงตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ท่านศาสดาก็แสดงตนอยู่ในสภาพอันประเสริฐบริสุทธิ์ และบรรดาชาวมุสลิมก็ทำตามท่าน

ทุกคนต่างก็ถอดเสื้อผ้าออกและสวมใส่ผ้าขาวสองผืนที่มิได้เย็บติดกัน

นับเป็นเครื่องนุ่งห่มที่ง่ายที่สุด ด้วยวิธีนี้พวกเขาได้แสดงออกถึงคำสอนในเรื่องความเท่าเทียมกันในสิทธิประโยชน์และโอกาสของพลเมืองซึ่งมีอยู่ในอิสลามในความหมายที่ชัดเจนและสูงสุด

ศาสดามุฮัมมัดหันไปสู่พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดหัวใจสุดความคิดในขณะที่อ้อนวอนออกมาว่า

“ขอรับใช้พระองค์ โอ้พระผู้เป็นเจ้า! ขอรับใช้พระองค์ พระองค์ไม่ทรงมีผู้เท่าเทียม! ขอรับใช้พระองค์ โอ้พระผู้เป็นเจ้า! ขอการสรรเสริญมีแด่พระองค์! ความขอบคุณมีแด่พระองค์! ขอรับใช้พระองค์ โอ้ พระผู้เป็นเจ้า! พระองค์ไม่ทรงมีภาคี โอ้ พระผู้เป็นเจ้า! ขอรับใช้พระองค์ โอ้ พระผู้เป็นเจ้า!”

และชาวมุสลิมทั้งหมดก็กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ซ้ำตามท่าน

ทั้งทะเลทราย หุบเขาภูผาต่างก็สะท้อนสะเทือนไป ท้องฟ้าเองก็เต็มไปด้วยเสียงสะท้อนของคำเรียกร้องของบรรดาผู้มีศรัทธามั่นและหัวใจเต็มไปด้วยการเคารพสักการะนี้ ขบวนแถวได้เคลื่อนต่อไปตามทางสู่นครมักกะฮ์

ผู้คนจำนวนนับพันนับแสนเหล่านี้ทำให้อากาศก้องไปด้วยเสียงอ้อนวอน ขบวนผู้คนจะหยุดที่มัสญิดทุกแห่งตามทางไปนครมักกะฮ์เพื่อละหมาด และเสียงคนนับพันนับแสนเหล่านี้ก็จะดังขึ้นในการประกาศถึงเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า

เสียงสรรเสริญและอำนวยพรเมื่อนึกถึงวันทำฮัจญ์อันยิ่งใหญ่ ซึ่งกำลังรอพวกเขาอยู่ ทุกคนต่างก็ใจร้อนอยากไปถึงสถานสักการะพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพวกเขาเคารพและให้เกียรติยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบรรดาทะเลทราย ภูเขา หุบเขา ต้นไม้ นกและท้องฟ้าต่างก็สะท้านไปด้วยสิ่งที่พวกมันได้ประสบในการเรียกร้องอันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งต่างก็ไม่เคยเห็นมาแต่ก่อนเลย!

สิ่งเหล่านี้และคาบสมุทรต่างก็ได้รับพรจากการมาถึงของศาสดาผู้ไม่รู้หนังสือผู้นี้คือศาสดามุฮัมมัด ข้าและผู้เผยแผ่ศาสนาของพระองค์

 

การประกอบพิธีฮัจญ์

ในวันที่แปดเดือนซุลฮิจญะฮ์อันเป็นวันแห่งตัรวิยะฮ์ ศาสดามุฮัมมัดได้ไปที่มินาและไปใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนในบริเวณนั้น

ที่นั่นท่านได้ละหมาดซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องทำในระหว่างช่วงเวลานั้น

ในวันรุ่งขึ้น ท่านได้ละหมาดตอนเช้าตรู่ พอดวงอาทิตย์ขึ้น ท่านก็ขี่นางอูฐก็อสวา ไปที่ภูเขาอะเราะฟาต โดยมีผู้ทำฮัจญ์ทั้งหมดติดตามไป

ในขณะที่ท่านขึ้นไปบนภูเขา ท่านก็ถูกห้อมล้อมด้วยสาวกนับพันๆ คน ซึ่งอ่านตัลบิยะฮ์และตักบีร (คำวิงวอนที่รวมเอาความหมายว่า “ขอรับใช้พระองค์” “โอ้พระผู้อภิบาล” หรือ “พระผู้เป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่” ไว้เป็นแนวเรื่องใหญ่)

ท่านศาสดาได้ยินเสียงของพวกเขาแต่ก็มิได้สั่งให้หยุด แต่ก็มิได้สนับสนุน

ท่านได้สั่งสาวกบางคนของท่านให้ตั้งกระโจมให้ท่านตรงภูเขาด้านตะวันออกตรงจุดที่เรียกว่า นะมิเราะฮ์

เมื่อดวงอาทิตย์ผ่านจุดสูงสุด ท่านก็สั่งให้ใส่อานอูฐของท่านแล้วขี่ต่อไปจนถึงหุบเขาอุรอนะฮ์

 

คำสั่งสอนครั้งสุดท้ายของท่านศาสดา

ณที่นั้นเอง ในขณะที่นั่งอยู่บนหลังอูฐ ท่านได้เทศนาให้ผู้คนของท่านฟังด้วยเสียงอันดัง เราะบีอะฮ์ อิบนุ อุมัยยะฮ์ อิบนุเคาะลัฟก็ถ่ายทอดถ้อยคำของท่านประโยคต่อประโยค

ท่านเริ่มด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าและขอบคุณพระองค์

ครั้นแล้วท่านก็หันไปยังผู้คนของท่านและกล่าวว่า

“โอ้ ผู้คนทั้งหลาย จงฟังถ้อยคำของฉันไว้ให้ดี เพราะฉันไม่รู้ว่าจะได้พบพวกท่านอีกหรือไม่ในโอกาสเช่นนี้ในอนาคต โอ้ ผู้คนทั้งหลาย ชีวิตและทรัพย์สินของพวกท่านจะไม่ถูกละเมิดจนกระทั่งท่านจะพบกับพระผู้อภิบาลของท่าน ความปลอดภัยแห่งชีวิตและทรัพย์สินของท่านจะไม่ถูกละเมิดเช่นเดียวกับในวันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งเดือนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ จงจำไว้ว่าท่านจะต้องพบกับพระผู้เป็นเจ้าของท่านอย่างแน่นอน และพระองค์จะคิดบัญชีการกระทำของท่าน ดังนั้น ฉันจึงขอเตือนพวกท่านไว้ ผู้ใดก็ตามในหมู่พวกท่านได้เก็บทรัพย์สินที่บุคคลใดไว้วางใจฝากไว้กับท่าน ก็ต้องคืนทรัพย์สินนั้นให้แก่เจ้าของที่ถูกต้องของมัน นับตั้งแต่นี้ไปการบังคับเรียกดอกเบี้ยทุกอย่างจะต้องละเว้น

อย่างไรก็ตาม เงินทุนของท่านนั้นเป็นของท่านที่จะเก็บไว้ ท่านจะไม่ก่อหรือไม่รับทุกข์ด้วยความไม่เสมอภาค พระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินว่าจะต้องไม่มีดอกเบี้ย และนับตั้งแต่นี้ไปดอกเบี้ยทั้งหมดที่จะต้องให้แก่อับบาส อิบนุ อับดุล มุฏเฏาะลิบจะถูกตัดออกไป สิทธิทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากการฆ่าคนในสมัยก่อนอิสลามนั้นจะต้องหมดไปตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป และสิทธิอันแรกเช่นนั้นที่ฉันขอตัดทิ้งก็คือสิทธิที่เกิดจากการฆ่าเราะบีอะฮ์ อิบนุล ฮาริษ อิบนุ อับดุล มุฏเฏาะลิบ โอ้ ผู้คนทั้งหลาย มารร้ายสูญเสียความหวังทั้งหมดที่จะได้รับการบูชาในดินแดนของพวกท่านนี้ไปเสียแล้ว แต่กระนั้นก็ดี มันก็ยังเป็นกังวลที่จะกำหนดการกระทำอันต่ำต้อยของพวกท่านอยู่ เพราะฉะนั้น จงระวังให้ดีเพื่อความปลอดภัยของศาสนาของพวกท่าน โอ้ ผู้คนทั้งหลาย การเข้าไปสอดหรือไปเพิ่มเดือนขึ้นมานั้นคือหลักฐานพยานของความไม่ศรัทธาอย่างใหญ่หลวงและยืนยันถึงการกระทำผิดของผู้ไม่ศรัทธา พวกเขาปล่อยตามใจตนในเรื่องนั้นในปีหนึ่งแล้วก็ห้ามในปีต่อไปเพื่อจะทำให้สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามให้เป็นสิ่งที่อนุมัติ แบบแผนของการคิดเวลาย่อมเป็นอย่างเดียวกันเสมอ สำหรับพระผู้เป็นเจ้า จำนวนเดือนนั้นมีอยู่สิบสองเดือน สี่เดือนเป็นเดือนศักดิ์สิทธิ์ สามเดือนตามมาติดๆ กัน ส่วนอีกเดือนหนึ่งนั้นอยู่แยกออกไประหว่างเดือนญุมาดะฮ์กับเดือนชะอ์บาน โอ้ ผู้คนทั้งหลาย เป็นสิทธิของท่านที่จะได้รับความนับถือจากภริยาของท่านและเป็นสิทธิของภริยาของท่านที่จะได้รับความนับถือจากท่าน เป็นสิทธิของท่านที่พวกนางจะไม่มั่วสุมกับคนใดๆ ที่ท่านไม่เห็นชอบด้วย รวมทั้งไม่ประกอบการผิดประเวณี แต่ถ้าพวกนางทำ พระผู้เป็นเจ้าก็จะอนุมัติให้ท่านแยกกับพวกนางได้ภายในบ้านของนางและลงโทษนางได้โดยไม่โหดร้ายทารุณ แต่ถ้าพวกนางถือตามสิทธิของท่านแล้วพวกนางก็มีสิทธิที่จะได้รับอาหารและเสื้อผ้าด้วยความเมตตากรุณา จงปฏิบัติต่อภริยาของท่านอย่างดีและเมตตากรุณาต่อพวกนาง เพราะนางเป็นผู้ร่วมชีวิตของท่านและผู้ช่วยที่ได้รับมอบหมายของท่าน จงจำไว้ว่าท่านได้รับพวกนางไว้เป็นภริยาของท่านและหาความปีติจากเนื้อหนังมังสาจากพวกนางเพียงภายใต้การมอบหมายของพระผู้เป็นเจ้าและด้วยอนุมัติของพระองค์ เพราะฉะนั้น โอ้ ผู้คนทั้งหลายจงใช้เหตุผลให้ดีและใคร่ครวญถึงถ้อยคำของฉันซึ่งบัดนี้ฉันได้กล่าวให้พวกท่านฟัง ฉันกำลังจะมอบพระคัมภีร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าและสุนนะฮ์ (แนวทาง) ของศาสดาของพระองค์ไว้ให้พวกท่าน ถ้าพวกท่านทำตามถ้อยคำเหล่านี้ท่านก็จะไม่มีวันหลงทางเลย โอ้ ผู้คนทั้งหลาย จงฟังคำของฉันให้ดีเถิด จงรู้เถิดว่ามุสลิมทุกคนก็คือพี่น้องของมุสลิมทุกคน และชาวมุสลิมจะต้องสร้างความเป็นพี่น้องที่เป็นอันหนึ่งเดียวกันขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของมุสลิมด้วยกันจักเป็นของมุสลิมอีกคนหนึ่งได้โดยถูกต้องนอกจากว่าผู้เป็นเจ้าของได้มอบให้โดยอิสระและด้วยความเต็มใจ เพราะฉะนั้น จงอย่ากระทำการอยุติธรรมต่อตัวท่านเอง”

“โอ้ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้นำเอาคำสั่งสอนของพระองค์มาถ่ายทอดแล้วมิใช่หรือ?”