เผยแพร่ |
---|
กรณีการอายัดบัญชีธนาคารของ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ก็เช่น เดียวกับกรณีการดำเนินคดีในห้วงแห่งการทำประชามติ
กรณีแรกอาจเกิดภายหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
กรณีหลังอาจเกิดในห้วงแห่งการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญเดือนสิงหาคม 2559
บัดนี้รัฐประหารผ่านมากว่า 4 แล้ว
บัดนี้ประชามติผ่านมาแล้วและมีการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญเมื่อเดือนเมษายน 2560
แต่การอายัดบัญชีธนาคารก็ยังดำรงอยู่
เช่นเดียวกับคดีอันเนื่องแต่การแสดงความเห็นและการเคลื่อนไหวในห้วงแห่งการทำประชามติก็ยังดำรงอยู่
กลายเป็นภาวะหัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออก
หัวร่อมิได้ร่ำไห้มิออกเพราะว่าเจตนาของการอายัดบัญชีธนาคารก็เพื่อสกัดการเคลื่อนไหว
คำถามก็คือ บุคคลคนนั้นเคลื่อนไหวอะไร
หากดูบทบาทและการเคลื่อนไหวของ นายสมบัติ บุญงาม อนงค์ เขาก็กระทำทุกอย่างอย่างเปิดเผยและอยู่ในกรอบแห่งกฎหมายทุกประการ
แม้กระทั่งเมื่อเขาออกมาทวงคืนบัญชีของเขา
ยิ่งกรณีอันเกี่ยวกับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญยิ่งเป็นเรื่องซึ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยตรง
การแจ้งจับก็เพียงเพราะพวกเขาแสดงความไม่เห็นด้วย
จากก่อนเดือนสิงหาคม 2559 กระทั่งร่างผ่านประชามติและมีการประกาศใช้ในเดือนเมษายน 2560 และกำลังจะเข้าสู่โรดแมปการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562
แทนที่จะเป็นผลดีกลับเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นผลเสียหรือรอยด่างอันเนื่องแต่การทำประชามติด้วยซ้ำไป
สภาพจึงดำเนินไปแบบหัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออก
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลพวงแห่งรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา
ความขัดแย้งในทางความคิดมีอยู่จริง
เป็นปัญหาในทางการเมืองและสมควรจะจบสิ้นลงไปเมื่อการเมืองมีความคลี่คลาย
นี่คือรอยแผลอันเนื่องมาแต่”รัฐประหาร”