วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร/วนเวียนในหุบเขาร้าง (156)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร

วนเวียนในหุบเขาร้าง (156)

จากนั้นเอี้ยก่วยก็เริ่มกล่าว “จิวเฮียท่านรับฟังให้ดี 13 กระบวนท่าที่หลงเหลือของฝ่ามือกำสรดวิญญาณสลายคือ”
เพื่อให้เข้าใจง่าย จะเรียงลำดับให้พิจารณา
1 คือ วนเวียนหุบเขาร้าง (ไป๊ฮ้วยคงก๊ก) 1 คือ ใจสู้ขาดแรงหนุน (ลักปุกช้งซิม) 1 คือ ซากศพที่เดินได้ (เกี่ยสี่เจ้าเน็ก) 1 คือ คนเขลาหาเรื่องใส่ตน (ย้งนั้งจืออิว) 1 คือ ฝืนทวนความประพฤติ (ต้อเกี้ยเง็กซี) 1 คือ ลืมกินไม่หลับนอน (ฮุ่ยจิ้มบ้วงเจี๊ยะ)
1 คือ เงาโดดเดี่ยวร่างเดียวดาย (โกวเฮ้งเจียะเอี้ย) 1 คือ กลืนความแค้นไม่ออกปาก (อิ้มฮึงทุงเซีย)
1 คือ จิตทั้งหกไม่สงบ (ลักซิ้งปุกอัน) 1 คือ อับจนเส้นหนทาง (ข้งทู้ม้วกโล่ว) 1 คือ หน้าไร้แววผู้คน (มิ่นบ้อนั้งเส็ก) 1 คือ จิตฟุ้งซ่านรัญจวน (เสียยิบฮุยฮุย) 1 คือ ตะลึงงันราวไก่ไม้ (ไง้เยียกบักโกย)
พอได้ยินแต่ละกระบวนท่าจากปากเอี้ยก่วย ก่อให้เกิดความรู้สึกอันแตกต่างกัน
จิวแป๊ะทงบ่นท่องพึมพำอย่างเป็นจริงเป็นจัง ก๊วยเซียงในเบื้องต้นรู้สึกตลกจนกลั้นหัวร่อไม่อยู่ แต่พอถึงห้วงหลังกลับบังเกิดความหดหู่หัวร่อไม่ออก
ตรงกันข้าม จิวแป๊ะทงกลับรับฟังจนเคลิบเคลิ้มแทบงมงาย
อย่าตำหนิก๊วยเซียงไปเลย ความอ่อนเยาว์ของนางต่างหากคือมูลเชื้อ ไม่เพียงอ่อนเยาว์ในเพลงยุทธ์ หากแต่ยังอ่อนเยาว์ในเรื่องราวของชีวิต
เพราะนี่ย่อมเป็นครั้งแรกที่ออกท่องในยุทธจักร

กล่าวสำหรับจิวแป๊ะทงบนพื้นฐานของคนซึ่งคลั่งไคล้วิชาฝีมือในระนาบที่อาจเรียกได้ว่างมงาย จึงมากด้วยความจริงจัง
“กระบวนท่าหน้าไร้แววผู้คน (มิ่นบ้อนั้งเส็ก) ใช้สยบศัตรูพิชิตชัยได้อย่างไร” เป็นคำถาม
“นี่แม้เป็นกระบวนท่าหนึ่งแต่แฝงความเปลี่ยนแปลงมากหลาย สีหน้าปรากฏแววยินดี เดือดดาล โศกศัลย์ หรรษา เต็มไปด้วยความประหลาดพิกล ศัตรูพอพบเห็นยากที่จะควบคุมจิตสำนึกตัวเองได้ เรายินดี ศัตรูยินดี เรากังวล ศัตรูกังวล สุดท้ายตกอยู่ใต้อาณัติ นี่เป็นวิธีพิชิตศัตรูที่ไร้เสียงไร้เงา เปรียบเหมือนการกู่ร้องสยบศัตรู ยังเหนือล้ำกว่าอีกขั้นหนึ่ง”
เป็นอรรถาธิบายอย่างรวบรัดจากเอี้ยก่วย
คำถามอันเสนอจากจิวแป๊ะทงแหลมคมอย่างยิ่ง “นี่เป็นกระบวนท่าที่ดัดแปลงจากยอดวิชาย้ายวิญญาณในคัมภีร์นพยมกระมัง”
“ถูกต้อง” เป็นการสำนองรับจากเอี้ยก่วย
คำตอบและอรรถาธิบายอันออกจากปากของเอี้ยก่วย ตอกย้ำยืนยันอย่างเด่นชัดว่าไม่เพียงแต่รวบรวมจากคัมภีร์ หากแต่ตัวมันเองยังปฏิบัติ ทดลอง และสรุปกระทั่งสามารถให้ตัวอย่างอย่างเป็นรูปธรรม
“อย่างนั้นกระบวนท่า ‘ฝืนทวนความประพฤติ’ (ต้อเกี้ยเง็กซี) เล่า” เป็นการรุกเข้าไปอีกคืบหนึ่งจากจิวแป๊ะทง
แทนที่จะอธิบายมันกลับลงมือกระทำ

เอี้ยก่วยพลันตีลังกาห้อยหัวกลับ แปรเปลี่ยนเป็นด้านตรงกันข้าม นั่นก็คือ ศีรษะอยู่ด้านล่าง เท้าอยู่ด้านบน พร้อมกับฟาดออก 1 ฝ่ามือ
“นี่เป็น 1 ใน 37 การเปลี่ยนแปลงของท่าฝืนทวนความประพฤติ”
เห็นและรับฟังดังนั้นจิวแป๊ะทงผงกศีรษะพร้อมกับกล่าว “นั่นมีต้นกำเนิดจากวิชาพลังฝีมือของพิษประจิมอ้าวเอี้ยงฮงแล้ว”
“มิผิด” พลิกตัวกลับยืนตรงแล้วจึงกล่าว
“แต่ในเพลงฝ่ามือของข้าพเจ้านี้ ในย้อนทวนมีท่าตรง ตรงและย้อนทวนหักล้างกันเอง สะกดข่มกันเอง ไม่อาจใช้เหตุผลอธิบายได้”
จิวแป๊ะทงครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ถึงกับไม่เข้าใจสาเหตุความนัย ต้องยกมือเกาศีรษะถามขึ้นว่า
“นั่นเป็นอย่างไร”
“รายละเอียดท่วงท่า ไม่สามารถบอกกล่าวกับผู้คนได้” เหมือนกับเอี้ยก่วยต้องการปิดบังซ่อนเร้น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงไม่ใช่
เรื่องแบบนี้มีแต่ “อรหันต์” เท่านั้นที่รู้ใน “อรหันต์” ด้วยกัน
จิวแป๊ะทงส่งเสียงดังอืมม์ ไม่กล่าวว่ากระไรอีก

เด่นชัดอย่างยิ่งว่า ไม่ว่ามองจากเอี้ยก่วย ไม่ว่ามองจากจิวแป๊ะทง 2 คนนี้มิได้เป็นปรปักษ์ระหว่างกันและกันแม้จะมีความขัดแย้งดำรงอยู่
เพียงแต่จิวแป๊ะทงหวาดกลัวการพบหน้าเอ็งโกวอย่างยิ่ง
เพียงแต่เอี้ยก่วยเรียนรู้ว่าการจะเรียกร้องต่อจิวแป๊ะทงจำเป็นต้องเอา “วิทยายุทธ์” มาหลอกล่อ แต่เมื่อผ่านไป กลยุทธ์ “ล่อเสือออกจากถ้ำ” กลับไม่ประสบผลสำเร็จ
ตรงกันข้าม ความสำเร็จกลับมาจากการจุดประกายของก๊วยเซียง