เข้าสู่ความสงบ…พักผ่อนภายใน

ฉันไปปฏิบัติธรรมมาในช่วงวันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษาที่ผ่านมาค่ะ

ได้ทำทาน รักษาศีล และภาวนา

หลังๆ ฉันจะรอคอยการได้ไปปฏิบัติธรรม เพราะมันเหมือนกับการได้พักผ่อน (จริงๆ)

เมื่อก่อนก็คิดว่าการเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ก็คือการพักผ่อนไงล่ะ แต่การเดินทางของฉัน มันไม่ใช่ไปเปลี่ยนที่นอน ตื่นมาเล่นไพ่ ตกดึกสังสรรค์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ฉันชอบไปในที่ที่ไม่เคยไป ไปผจญภัย ไปใช้ชีวิต ขับรถ เดินเท้า ปีนเขา ลากกระเป๋า ตากฝน ลุยหิมะ ผจญแดด ตื่นเช้าออกมาวิ่งสำรวจเมือง

คุณคิดว่ามันคือการพักผ่อนไหมล่ะ (ฮา)

มิน่า หลังๆ เดินทางบ่อยมากขึ้น เอ๊ะ! ทำไมเหนื่อยจัง เหมือนไม่ได้หยุดงานอะไรเลย

อ๋อ! ก็คุณเล่นใช้ชีวิตขนาดนี้ นี่ไม่นับเวลาแห่งการเจ็ตแล็กอะไรทั้งสิ้น เราไม่นับ เราไม่มีเวลาจะมาปรับตัวอะไร เราปรับเลยตั้งแต่ขึ้นเครื่อง ลงปุ๊บเป็นคน local ได้ทันที

วันหยุดยังรีบ เวลาเรามีน้อย จึงต้องใช้สอยอย่างประหยัด

ดังนั้น คุณพอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมคะว่า ทำไมฉันถึงบอกว่าการไปปฏิบัติธรรมคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด

 

จะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องสบาย หรือเรื่องง่ายที่จะทำ เพราะเราต้องใช้อะไรหลายๆ อย่างที่จะทำมันให้สำเร็จให้ได้

แม้ว่าเราจะไม่ต้องทำงาน ติดต่อกับใคร งดใช้โทรศัพท์ งดเล่นโซเชียล งดพูด งดดูทีวี ฟังเพลง ไม่สื่อสารกับโลกภายนอก แต่ให้กลับเข้ามาสื่อสารกับโลกภายในตัวเอง

ชีวิตความเป็นอยู่ก็สุขสบาย ไม่ลำบาก นอนดี กินดี อาหารเพียบ ขนมบานเบียงเพราะมีผู้บริจาคมามากมาย ทำให้การภาวนาไม่อัตคัดขัดสน ไม่ต้องกลัวสัตว์ร้าย ไม่ต้องกลัวอาหารหมด ขอให้ตั้งใจปฏิบัติเป็นพอ

น่าแปลกที่การไม่พยายามส่งใจออกนอกตัวเอง จะเป็นการพักผ่อนได้อย่างดี เพราะเราก็เฝ้าดูกาย ดูใจตัวเอง อะไรมากระทบ อะไรเกิดขึ้น ก็ทำหน้าที่ “รู้” เท่านั้น

ถ้าในชีวิตปรกติเราแทบจะ “ไม่รู้” อะไรเลย เพราะขาดสตินั่นเอง

เราไม่เคยมาดูกาย ดูใจตัวเอง เพราะมัวแต่สนใจชีวิตคนอื่น ดูมือถือ ดูทีวี ดูคนนั้นคนนี้ นั่งชิลร้านกาแฟดูชีวิตคนอื่น แต่ลืมดูตัวเอง

เฮ้ย! มันมีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอเนี่ย เมื่อก่อนไม่เห็นจะรู้เลย เราก็ใช้ชีวิตแบบนั้นแหละ เวลาว่างมีไว้ให้ฆ่า ว่างก็หาอะไรทำจะได้ไม่เหงา ไม่ฟุ้งซ่าน จะได้มีสังคม

แต่พอปฏิบัติธรรมแล้ว เรารู้เลยว่า เราไม่เหงาอีกต่อไป เรามีสิ่งที่ต้องทำมากมาย แค่รู้กาย รู้ใจ รู้ลมหายใจ รู้ทันอารมณ์ ความรู้สึกตัวเองก็ดูกันไม่ทันแล้ว จะให้ไปดูหรือสนใจเรื่องที่มันไร้สาระ มันไม่มีเวลาจริงๆ ที่สำคัญ มันไม่ได้อยู่ในความสนใจของเราแล้ว

ยิ่งศึกษา ฟัง อ่าน ก็ยิ่งรู้ว่า “พระพุทธเจ้า” นั้น มีพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งจนไม่รู้จะหาคำใดมากล่าวได้

 

ฉันซาบซึ้งในสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงทำจนน้ำตาไหล

เราลองคิดดูว่าในสมัยก่อนนั้น ในวันที่พระองค์ต้องเดินตามหาลูกศิษย์ทั้ง 5 หลังจากที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว ต้องเดินข้ามเมือง ถึงมืด หนาว ลำบากแค่ไหนที่ต้องเดินอยู่คนเดียว หรือในวันที่ไม่มีใครเห็นด้วยกับสิ่งที่พระองค์ทรงทำ พระองค์ก็ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนที่ยังคงยืนหยัดลงมือทำต่อไป

ยังไม่นับในอีกหลายๆ ชีวิต กว่าที่พระองค์จะมาเป็นพระพุทธเจ้า ต้องผ่านอะไรมามากมาย แต่พระองค์ก็ทรงทำเพื่อพวกเรา ใครก็ไม่รู้ คนตาดำๆ ที่ไม่ได้รู้จักกัน แต่อยากให้เราพ้นทุกข์ ในหัวใจพระองค์จะมีความรักให้พวกเรามากขนาดไหน

ในระหว่างดำรงพระชนม์ชีพก็มีเรื่องราวมากมาย ทั้งใส่ร้าย นินทา กล่าวหา กลั่นแกล้งให้ถึงแก่ชีวิตก็มี ทำทุกวิถีทาง พระองค์ต้องอดทนสักเพียงไหน แต่ไม่ว่าจะเจออะไร พระองค์ก็ยังทรงมีเมตตาอยากให้คนคนนั้นพ้นทุกข์ และรอดจากบาปที่ทำไว้

หัวใจของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

 

ระหว่างการปฏิบัติมีบ้างที่ง่วง เบื่อ เหนื่อย ขี้เกียจ แต่เมื่อมองไปที่รูปของพระองค์ เราต้องรีบสลัดอาการเหล่านั้นออกไป และตระหนักไว้ว่า พระองค์เจออะไรมาบ้าง เราเจอแค่นี้จะท้อเสียแล้วได้อย่างไร

ความก้าวหน้าในการปฏิบัติของฉันมีมากขึ้นถ้าเทียบกับเมื่อก่อนที่ติดลบ

คนอย่างเราจะมาอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร บ้าแล้ว ไม่เห็นสนุกเลย

หลับเอาเป็นเอาตาย หลับเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งวัน หลับจนน่ารำคาญ

คิดบ้าฟุ้งซ่าน คิดจนสนุกสนาน คิดจนลืมไปเลยว่านี่นั่งภาวนาอยู่ ไปไหนต่อไหนไกลมาก

มาครั้งนี้จิตใจมีความสงบมากขึ้น เข้าสมาธิได้เร็วขึ้น รู้ตัวเองบ่อยขึ้น และดับลง ไม่ไหลไปไกล รู้ว่ามีปีติ รู้ว่าเฉยๆ รู้ว่าอึดอัด พยายามรู้ให้มากขึ้น

สนุกดีค่ะ ท้าทายดี ไม่คิดว่าคนอย่างตัวเองจะทำได้

ใจเย็นๆ นะคะยังไม่ได้บรรลุค่ะ ยังไม่ได้จะลาไปไหนด้วย ก็เป็นคนปรกติ มีอารมณ์ ความรู้สึกเหมือนเดิมเป๊ะ เพียงแต่รู้มัน รู้แล้วมันก็จะดับ

เพราะถ้ามันไม่ดับ ก็อาจเป็นเราที่ดับไปก่อนมัน!