กาละแมร์ พัชรศรี : ชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 40! (ตอน2)

จากที่เล่าเมื่อตอนที่แล้วว่า เมื่อได้ไปเข้าเรียนในห้องเรียนเข็มเทิศชีวิตของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ก็ทำให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

นอกจากจะทำให้ฉันได้กลับไปแก้ไขความเข้าใจผิดๆ ในวัยเด็กที่มีต่อพ่อแม่ และกลับมาเข้าใจใหม่ว่าพ่อกับแม่รักเราแค่ไหน ก็ทำให้ฉันมีความรักให้กับพ่อกับแม่อย่างท่วมท้นและปฏิบัติตัวต่อท่านดีขึ้นกว่าแต่ก่อน

ฉันยังรู้สึกถึงความรักที่เติมเต็มอยู่ล้นหัวใจและไม่ต้องวิ่งไล่หาความรักจากใครต่อใคร ถ้าจะมีเข้ามา เขาจะต้องเป็นคนดี มีศีลเสมอกัน และทำให้เรามีความสุข

ในคลาสเรียนนอกจากการคลายปมเรื่องวัยเด็กแล้ว ยังให้เราแก้ไขข้อเสียของตัวเองอีกด้วย

เราทุกคนย่อมมีข้อเสียของตัวเอง อยู่ที่ใครจะยอมรับอย่างกล้าหาญและอยากจะทำให้ตัวเองดีขึ้นหรือไม่ ครูอ้อยจะให้เราคิดขึ้นมาว่า “ข้อเสียใดของตัวเองถ้าไม่เปลี่ยน ชีวิตเราจะต้องฉิบหายแน่ๆ”

บางคนอาจจะเป็นเรื่องความขี้เกียจ ยอมคน ไม่กล้าทำสิ่งดีๆ ให้ตัวเองสำเร็จ เอาแต่ใจ หรืออื่นๆ ใดก็ตาม แต่สำหรับฉันคือเรื่องความใจร้อน หงุดหงิด ร้อนรุ่มระหว่างวัน ใครพูดดีเข้าหูคนนั้นรอดตัวไป คนไหนพูดผิดหู ทำอะไรผิดใจ นังนี่ของขึ้นทันที ตอบโต้ได้ก็โต้ไป อันไหนไม่ได้ก็เอามานั่งถอนหายใจในห้องน้ำ ซึ่งฉันก็ไม่ชอบตัวเองเลย รู้สึกผิดเสมอ ถ้าไม่แก้เรื่องนี้จะมีใครคบตรูไหมเนี่ย!

สิ่งที่ครูอ้อยให้ทุกคนทำคือ นอนหลับตาลง แล้วเอาด้านตัวสีดำออกมา เหมือนกับว่ามันนั่งอยู่ต่อหน้าเรา เผชิญหน้ากับมัน ไม่ปล่อยให้มันมากระซิบข้างหูเราเวลามันยุยงให้เราทำสิ่งไม่ดี เอามันมาคุยต่อหน้าแบบเปิดอกคุยกัน

เวลาคุยไม่ใช่คุยกับมันดีๆ เพราะมันจะไม่สำนึกสำเหนียก เวลาที่เราบอกใครต่อใครว่าเรามีข้อเสียอะไร เรามักจะอ่อนข้อกับมัน พูดถึงมันแบบสุภาพแผ่วเบา เช่น “ปรกติก็ไม่อารมณ์เสียนะถ้าไม่มีอะไรมายั่วยุ”

แต่เราก็ไม่เคยจะแก้ไขมันได้สักที มันยังคงกระซิบอยู่ข้างหูเราเสมอ

ครูอ้อยจะบอกให้เราด่ามันออกไป ด่าให้มันรู้สึกตัว คิดดูว่าปรกติคนเราจะมานั่งด่าตัวเองไหม เรากล้าไหมที่จะยอมรับว่าเรานิสัยไม่ดีอย่างไร

แต่นี่คือการเผชิญหน้ากับความเลวของตัวเอง และพูดออกไปให้มันได้ยิน

แต่จริงๆ แล้วคนที่ได้ยินคือตัวเรานี่แหละ เราพูดจากจิตใต้สำนึกของเราอย่างแท้จริง เราไม่ชอบมันอย่างไร รู้สึกอย่างไร เราจะพูดมันออกไป เมื่อเราพูดออกไป เรายอมรับมัน เราได้ยินมัน แล้วมันจะย้อนกลับมาหาตัวเราให้เราได้คิด พิจารณา สำนึก สำเหนียก ว่าเลวขนาดนี้แล้วจะเป็นต่อไปอีกเหรอ

อนาคตอยากเห็นชีวิตตัวเองไม่ดีเหรอถ้าเรายังมีนิสัยไม่ดีอย่างนี้ จะแก่ตายคนเดียวหรืออย่างไร เรียกว่านั่งด่ามันจนเหนื่อยน่ะค่ะ ยิ่งพูดไป ตัวเองจะเสียใจในสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นมาก่อนหน้านี้

แล้วเราจะบอกกับตัวเองเลยว่า เราไม่อยากเป็นคนแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เราไม่เอานิสัยอย่างตัวสีดำอีกต่อไปแล้ว จงออกไปจากชีวิตเราซะ!

ออกไป!!!

ตอนแรกเราจะเกลียดตัวสีดำที่มันทำให้เรามีนิสัยไม่ดี แต่ครูอ้อยจะให้เราได้เข้าไปเข้าใจตัวสีดำด้วยว่า ทำไมมันถึงทำนิสัยแบบนั้นออกไป เพราะมันรักเราใช่ไหม มันอยากปกป้องเราจากความรู้สึกกลัว ไม่ปลอดภัยจากบางอย่างใช่ไหม แต่มันแสดงออกไม่เป็น มันถึงทำแบบนั้นออกไป

เมื่อเราไปเข้าใจมัน เราก็จะไม่เกลียดมัน แต่จะบอกกับมันโดยดีว่า “ไปเถอะนะ ฉันจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว ฉันจะเป็นคนใหม่แล้ว”

เมื่อคุยตกลงกับตัวเองเรียบร้อยแล้ว ครูอ้อยจะให้เรากลับมากอดตัวเองและคิดถึงเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนนั้น เด็กผู้หญิงที่มีความสุขเสมอ ครูทำให้ฉันร้องไห้อย่างหนักหน่วง เพราะหลายต่อหลายครั้งที่ฉันแอบคิดถึงตัวเองอยู่บ่อยครั้ง แต่ด้วยภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ ทำให้ฉันต้องเข้มแข็ง แข็งแกร่ง ต้องยืนด้วยขาของตัวเองเสมอ แม้มีเรื่องอะไรเข้ามาในชีวิต ฉันต้องอยู่ให้ได้ จนหลายครั้งฉันหลงลืมความอ่อนโยน ความน่ารักของตัวเองไป เพราะต้องทำตัวแข็งกร้าวอยู่เสมอเพื่อให้ตัวเองไม่อ่อนแอและมีชีวิตรอดอยู่ได้

ฉันกลับไปเห็นภาพเด็กน้อยตัวดำ ผูกหางเปียตึงๆ เหงื่อออกที่ตีนผม วิ่งเล่นและขี่จักรยานจนลมตีหน้า หัวเราะร่าทั้งวันทั้งคืน ไม่มีเรื่องอะไรที่จะมาทำให้เธออารมณ์เสีย หงุดหงิดได้เลย นึกถึงที่ไรก็มีความสุขและมีรอยยิ้มทุกครั้ง

ฉันมองสิ่งรอบตัวด้วยสายตาใหม่ หันไปทางใดก็มีความงดงามทั้งๆ ที่ทุกอย่างมันก็อยู่ของมันเหมือนเดิม ฉันยิ้มแย้มให้คนที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จัก จากที่เมื่อก่อนจะก้มหน้างุดๆ หน้าเฉยเมย คราวนี้เมื่อเรายิ้ม เขาจะยิ้มกลับ มองท้องฟ้าก็สดใส ฝนตกก็ชุ่มฉ่ำ ฉันมองโลกด้วยความสดใสและมีความสุขกว่าเมื่อก่อนมาก

เข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องถอนหายใจอีกต่อไป

ฉันมีสติในระหว่างวันมากขึ้นจากการนั่งสมาธิยามเช้าทุกวัน วันละ 10-15 นาที ยิ้มให้ตัวเอง ขอบคุณตัวเอง โอบกอดตัวเอง และทำกับคนอื่นเช่นกัน

ฉันรู้สึกเลยว่าโลกเป็นมิตรกับฉัน ทั้งๆ ที่มันก็คือโลกใบเดิมแต่เราได้เปลี่ยนแว่นตาที่ใส่เพื่อมองโลกเปลี่ยนไป

ฉันเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัยจะ 40 ปี โลกสดใสเหมือนมีแสงสีทองทาบทอที่ร่าง และฉันรู้เลยว่าเราสามารถเป็นคนดีได้มากกว่านี้

สุดท้ายนี้ฉันขอขอบพระคุณครูอ้อยที่เป็นอาจารย์ทางจิตวิญญาณและเป็นผู้จูงมือเด็กน้อยคนนี้ได้พบกับแสงสว่างในชีวิตค่ะ