เขย่าสนาม : “โควต้าอาเซียน” เหรียญ 2 ด้านที่รอการพิสูจน์

นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันเป็นอย่างมากในวงการฟุตบอลไทยในช่วงที่ผ่านมา กับการที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประกาศเตรียมเพิ่มโควต้าอาเซียน สำหรับการแข่งขันฟุตบอล “โตโยต้า ไทยลีก” ในฤดูกาลหน้า เป็น 3 คนด้วยกัน

จากที่ผ่านมาในฤดูกาลนี้ ไทยลีกได้มีการปรับเรื่องของโควต้านักเตะต่างชาติ จากเดิมทีนั้นจะเป็นนักเตะต่างชาติ 4 กับ 1 นักเตะเอเชีย มาเป็นนักเตะต่างชาติ 3 นักเตะเอเชีย 1 และนักเตะอาเซียน 1 โดยทั้ง 5 คน สามารถเลือกส่งลงสนามพร้อมกันได้เพียง 4 คนเท่านั้น

ทว่าล่าสุดที่ทางสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เตรียมจะใช้นั้น จะเพิ่มจากเดิมที่มีโควต้าอาเซียน 1 คนนั้น กลายเป็น 3 คน และทุกคนสามารถลงสนามเสมือนเป็นนักเตะไทยได้

เท่ากับจะทำให้แต่ละทีมจะมีโควต้านักเตะต่างชาติลงสนามพร้อมกันได้ถึง 7 คนเลยทีเดียว

เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยกันว่า จะเป็นการตัดทางแจ้งเกิดหรือลงสนามของนักเตะไทยหรือไม่ เพราะถ้าเกิดมีทีมใดใช้โควต้ากันแบบเต็มที่ จะทำให้นักเตะไทยเหลืออยู่ในสนามเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูจากทีมชาติไทยในตอนนี้ ประสบปัญหาในเรื่องของการขาดแคลนกองหน้าตัวจบสกอร์ เนื่องจากการแข่งขันในลีก กองหน้าไทยนั้นถูกกองหน้าต่างชาติแย่งงานกันไปหมด กลายเป็นว่าไทยขาดกองหน้าดีๆ ที่จะเอาไว้พิฆาตคู่แข่งในระยะหลัง

จุดเริ่มต้นของแนวคิดในการเพิ่มโควต้าอาเซียน คงต้องบอกว่ามาจาก “อ่อง ธู เอฟเฟ็กต์” การมาของดาวยิงทีมชาติพม่า ซึ่งถือว่าแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในไทยลีกกับ “มังกรโล่เงิน” โปลิศ เทโร เอฟซี นอกจากการทำไปแล้วถึง 10 ประตู เจ้าตัวยังช่วยเพิ่มยอดคนดูให้กับเทโรจากฤดูกาลก่อนขึ้นมาถึง 55 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน

นี่คือสิ่งที่ทำให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เล็งเห็นถึงหนทางในการสร้างกระแสของฟุตบอลไทยลีก ให้บูมในอาเซียน และกลายเป็นลีกอันดับหนึ่งของภูมิภาคให้ได้

มาว่ากันด้วยเรื่องข้อดีของโควต้าอาเซียนก่อน แน่นอนว่านี่คือการเปิดตลาดใหม่ หลังจากที่ไทยลีกเกิดปัญหาคนดูซบเซาลง ไม่ว่าในสนามแต่ละทีมจะสู้กันสนุกแค่ไหน แต่คนดูก็ไม่ค่อยเข้าสนามกัน เน้นดูถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ หรือหาลิงก์ดูตามอินเตอร์เน็ตกันมากกว่า

หลายๆ สโมสรพยายามทำแผนประชาสัมพันธ์ พยายามดึงคนให้กลับเข้ามาในสนาม แต่อนิจจัง ขนาดทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องแฟนบอลที่ให้การสนับสนุนทีมอย่างต่อเนื่องอย่าง “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี คนยังหายไปเกือบครึ่ง บางทีในสนามเห็นภาพที่นั่งว่างมากกว่าคนดู

ดังนั้น นี่จะเป็นทางเลือกใหม่ การดึงผู้เล่นอาเซียนเข้ามา ก็จะทำให้มีแฟนบอลของนักเตะต่างๆ ให้ความสนใจมาดูทีมของไทยมากขึ้น เหมือนกับที่ไทยส่งออกนักเตะไปเล่นยัง “เจลีก ญี่ปุ่น” ทำให้ไทยต้องซื้อลิขสิทธิ์ของเจลีก มาถ่ายทอดสดเพื่อให้ได้ดูเกมที่นักเตะไทยลงเล่นกัน

เอาจริงๆ ถ้าหากว่า “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ดาวเตะทีมชาติไทย ไม่ไปเล่นให้กับคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ก็คงไม่มีคนไทยรู้จักทีมนี้กันมากเท่าไหร่ เพราะคนไทยเองคงไม่ได้สนใจเจลีก ติดตามการถ่ายทอดสด หรือบินตามไปดูถึงประเทศญี่ปุ่นมากนัก

ดังนั้น นี่คือจุดที่น่าสนใจว่า ไทยลีกจะสามารถบูมในระดับภูมิภาคอาเซียนได้หรือไม่ จะสามารถดึงนักเตะที่เป็นแม่เหล็กของชาติต่างๆ เข้ามาค้าแข้งได้หรือเปล่า เพราะถ้าหากมองในแง่ของคุณภาพการแข่งขันในลีก คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไทยลีก เป็นลีกเบอร์ 1 ของอาเซียน แถมยังสามารถแซงค่าสัมประสิทธิ์ของเอลีก ออสเตรเลีย ไปได้แล้วอีกด้วย

แต่จุดหนึ่งที่ยังเป็นเครื่องหมายคำถามคือ จาก 15 นักเตะโควต้าอาเซียน ที่เข้ามาค้าแข้งในไทยลีกฤดูกาลนี้ กลับกลายเป็นว่ามีเพียงอ่อง ธู ซึ่งเป็นกองหน้าของทีมชาติพม่าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถฉายแสงและแสดงให้เห็นว่าตัวเขาคู่ควรกับการมาเล่นในไทยลีก นอกนั้นหลายๆ สโมสรมักเล่นแง่ ด้วยการใช้เรื่องของนักเตะลูกครึ่ง ซึ่งบางคนก็ไม่ได้ติดทีมชาติ แถมส่วนใหญ่มาแล้วก็ไม่ได้ลงสนาม หรือไม่ได้ช่วยสร้างกระแสให้กับทีม ให้มีคนดูมากขึ้นแต่อย่างใด

นี่เป็นโจทย์ที่ทางสมาคมจะต้องหาทางออก ซึ่งมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา วางกฎระเบียบของการใช้ผู้เล่นโควต้าอาเซียน โดยขั้นต้นอย่างน้อยผู้เล่นที่จะเข้ามาจะต้องเคยติดทีมชาติในรุ่นอายุใดอายุหนึ่งมาก่อน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่งั้นคงจะเจอแต่นักเตะโอนสัญชาติ ลูกครึ่ง มากันให้เต็มไปหมด

ซึ่งไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อการพัฒนาของฟุตบอลไทยเลย

ทีนี้มาถึงข้อเสียที่ทุกคนมองกันว่า นี่จะเป็นการคุมกำเนิดนักบอลไทย การเปิดโควต้าแบบนี้ ทำให้มีโอกาสที่จะได้เห็นบางทีมส่งนักเตะไทยลงสนามเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น ซึ่งบางคนมองว่าการที่จะเปิดโควต้าอาเซียนแบบนี้ สู้ออกกฎบังคับให้แต่ละทีมต้องมีผู้เล่นดาวรุ่งไหม หรือควรแก้ปัญหากองหน้าไทย ด้วยการกำหนดให้ใช้แต่กองหน้าไทยหรือเปล่า

แต่จริงๆ แล้วในเรื่องนี้ ถ้ามองดีๆ ในเมื่อไทยคือเบอร์ 1 ของอาเซียน เรามีนักเตะที่ดีและควรต้องมีความเชื่อมั่นว่านักเตะไทยนั้นเหนือกว่านักเตะอาเซียน การออกโควต้าอาเซียนมา ไม่ได้บังคับว่าทุกทีมจะต้องมี เพียงแต่เป็นทางเลือกให้เพิ่มโอกาสในการขยายตลาดคนดูเท่านั้น

ถ้าหากว่านักเตะอาเซียนไม่ดีพอจริงๆ ก็ไม่สามารถเข้ามาเล่นในไทยลีก หรือสอดแทรกแย่งตำแหน่งกับนักเตะไทยได้ด้วยซ้ำ ดูอย่างที่นักเตะไทยได้สิทธิเทียบเท่านักเตะญี่ปุ่นในเจลีก แต่ตอนนี้ก็มีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นที่ได้ไปเล่น หรือตอนนี้นักเตะอาเซียนที่ยึดตำแหน่งในไทยลีกได้ ก็มีเพียงอ่อง ธู เช่นกัน

กลับกันถ้ามองดูตอนนี้นักเตะไทยค่าตัวเฟ้อ ค่าเหนื่อยก็เฟ้อ อันเป็นปัญหาให้กับทีมแต่ละทีม ที่ต้องเพิ่มเม็ดเงินมากขึ้น ซึ่งบางคนค่าตัวแพง แต่เล่นได้ไม่สมค่าตัวก็มี การมาของนักเตะอาเซียน จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้สโมสร อีกทั้งยังเป็นการกดดันนักเตะไปในตัวว่าคุณจะต้องโชว์ฟอร์มให้ดี ให้สมค่าตัวนะ ไม่งั้นทางเลือกอื่นๆ ที่ถูกกว่าดีกว่า ก็ยังมีให้เลือกอีกมากเช่นกัน

พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ให้เหตุผลของการเพิ่มโควต้านักเตะอาเซียนว่า ทุกวันนี้ฟุตบอลนั้นเป็นการทำธุรกิจมากขึ้น การเปิดโควต้าอาเซียนเพิ่ม ก็เหมือนกับการเปิดตลาดใหม่ ให้มีนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาสนใจ หรือพัฒนาลีก เพิ่มค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขัน เพิ่มมูลค่าของลีกให้มากขึ้น อันจะเป็นส่วนช่วยสโมสร และจะเป็นผลดีของการพัฒนานักเตะไทยที่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้อยู่ในทีมด้วย

แน่นอนว่าเหรียญมี 2 ด้านฉันใด ทุกการตัดสินใจย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายมันก็ต้องลองดูสักตั้ง ว่าจะดีหรือไม่