นพมาส แววหงส์ วิจารณ์หนัง MISSION : IMPOSSIBLE – FALLOUT ‘ภัยคุกคามของระเบิดนิวเคลียร์’

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์ / นพมาส แววหงส์

 

MISSION : IMPOSSIBLE — FALLOUT

‘ภัยคุกคามของระเบิดนิวเคลียร์’

 

กำกับการแสดง  Christopher McQuarrie
นำแสดง Tom Cruise Henry Cavill Ving Rhames Simon Pegg Rebecca Ferguson Sean Harris Angela Bassett Michelle Monaghan Alec Baldwin

ล่วงเข้าไปถึงภาคที่หกแล้วนะคะสำหรับหนังจอใหญ่ชุดนี้
Mission : Impossible เคยเป็นหนังชุดทางโทรทัศน์ สมัยที่ผู้เขียนยังเรียนมหาวิทยาลัย ฉายสัปดาห์ละหน ช่วงไพรม์ไทม์หลังข่าวภาคค่ำ และถ้าความจำไม่เล่นตลก ก็เป็นวันพฤหัสบดี
ติดหนับถึงขนาดจำวันเวลาในอดีตได้แม่นเลยเชียวค่ะ สมัยนั้นหนังชุดต่อเนื่องยังคงมีความยาวครึ่งชั่วโมง เลยถือว่าไม่ดึกเกินไปที่จะดูสำหรับวัยเรียนหนังสือ

มีปีเตอร์ เกรฟ เป็นพระเอก มีมาร์ติน แลนเดา เป็นมนุษย์เปลี่ยนหน้าแปลงโฉม สวมหน้ากากเนียนสนิทปลอมตัวเป็นใครก็ได้ที่อยากปลอม ขอเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงทำก๊อบปี้หน้ากาก
นักแสดงจากหนังชุดนี้ที่ยังคงเห็นหน้าเห็นตามาจนเมื่อปีที่แล้วนี้เอง คือมาร์ติน แลนเดา นี่แหละ แถมยังได้รับออสการ์ในบทสมทบจากหนังเรื่อง Ed Wood (ที่มีทิม เบอร์ตัน กำกับฯ และจอห์นนี่ เดปป์ แสดงนำ) อีกด้วย โดยเล่นเป็นเบลา ลูโกซี นักแสดงชื่อดังที่เล่นบทเคาต์แดร๊กคิวล่ามาตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20
ชื่อหนังเรื่องนี้ แบ่งแยกด้วยเครื่องหมายมหัพภาคคู่ หรือ colon เนื่องจากภารกิจที่พระเอกพร้อมทีมงานได้รับมอบหมาย ได้รับการประทับตราจากหน่วยงานว่า “เป็นไปไม่ได้” เพราะความยากลำบากแทบมองหาหนทางไม่เจอ
แต่ในความสามารถเยี่ยมยอดของ “อีธัน ฮันต์” ความเป็นไปไม่ได้ก็กลายเป็นความเป็นไปได้
นั่นคือความสนุกของหนังชุดนี้

ตั้งแต่หนังชุดนี้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ทางจอใหญ่ ก็เห็นมีภาคหกนี้เท่านั้นที่หวนกลับไปใช้รูปแบบดั้งเดิมในปลายทศวรรษ 1960 นั่นคือทุกตอนจะเริ่มด้วย อีธัน ฮันต์ ได้รับเทปที่ส่งมาอย่างลึกลับ เพื่อให้เปิดฟังคนเดียว
หัวหน้าหน่วยงานลับสุดยอดที่เรียกชื่อย่อว่า “ไอเอ็มเอฟ” หรือ Impossible Mission Force ส่งภารกิจ “ที่เป็นไปไม่ได้” มาให้ โดย “ถ้าคุณเลือกจะยอมรับงานชิ้นนี้” ขอให้คัดสรรทีมงานเอาเอง และหน่วยงานจะไม่ออกหน้ารับผิดชอบ ถ้าเผื่อเกิดความผิดพลาดในการปฏิบัติภารกิจ และเพื่อรักษาความลับสุดยอดของข้อมูล “เทปนี้จะสลายตัวไปเอง เมื่อฟังจบ”
(สมัยยังเรียนหนังสืออยู่ ฟังแล้วรู้สึกทึ่งทุกหนเลย ไม่รู้ว่ามันสมองของพระเอกทำได้ยังไง ในการจดจำข้อความรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้หมด เราเองยังต้องอ่านหนังสือทบทวนอยู่หลายหนกว่าจะจำเอาไปตอบข้อสอบได้แบบไม่ผิดเพี้ยน)
สมัยนั้นคำว่า “ไอเอ็มเอฟ” ยังอยู่ในเรื่องราวของหนังชุด และยังไม่มีหน่วยงานทางการเงินที่เพิ่งมารู้จักในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตกที่เรียกว่าในชื่อเดียวกัน โดยย่อมาจาก International Monetary Fund และยังไม่มีสังคมออนไลน์ที่นิยมใช้คำย่อกันอย่างกว้างขวาง
จนตัวย่อนี้กลายมาแพร่หลายในความหมายว่า “ใส่หน้าฉันเลย” (in my face)
การเปิดเรื่องเป็นประจำแบบนี้แหละค่ะที่ภาคหกยังใช้มาเปิดเรื่องราวของหนังภาคนี้ รู้สึกดีค่ะ ทำให้หวนระลึกถึงวันเวลาเก่าๆ สมัยยังอยู่ในยุคสงครามเย็นระหว่างมหาอำนาจสองฝ่าย ที่ทำสงครามกันซึ่งๆ หน้าไม่ได้ แต่ก็หาวิธีแข่งขันแย่งชิงอำนาจกันในทางอื่นๆ
ยุคที่หนังชุดเรื่องนี้ออกฉาย เป็นเวลาที่สงครามเย็นกำลังร้อนระอุ (ถ้าคำพูดนี้อาจฟังขัดแย้งกันเองในตัว) และสหภาพโซเวียตคือศัตรูตัวเอ้ของอเมริกา ซึ่งเป็นฝ่ายพระเอกเพราะหนังทำจากมุมมองของอเมริกา
เทปคำสั่งภารกิจอิมพอสสิเบิลนี้ หลังจากฟังจบแล้ว ยังสลายตัวไปเอง กลายเป็นควันขึ้นโขมงเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าอีธัน ฮันต์ ในหนังใหญ่ (ทอม ครูส) ไม่ต้องคัดเลือกทีมงานจากแฟ้มข้อมูลเองแล้ว
เนื่องจากว่าเขามีทีมคู่ใจที่เข้าขากันได้ดีมาจากหนังภาคก่อนๆ

ตอนนี้อีธันเหลือทีมงานที่ไว้ใจได้อยู่เพียงสองคน คือ ลูเธอร์ (วิง เรมส์ ซึ่งต่อเนื่องมาจากภาคแรก) และเบนจี้ (ไซมอน เพ็กก์ ซึ่งกลายเป็นตัวชูโรงแบบ “ตลกตามพระ [เอก]” ในระยะหลังๆ นี้) เนื่องจากเมื่อกลายเป็นหนังใหญ่มาทุกตอน อีธันโดนทรยศหักหลังมาสารพัดสารพัน แม้โดยบิ๊กบอสผู้ที่เขาไว้ใจอย่างที่สุด
และหลังจากอีธันหลงรักและสูญเสียผู้หญิงมาแล้วหลายคน รวมทั้งภรรยาที่แต่งงานด้วยคือ หมอจูเลีย (มิเชลล์ โมนาแกน) ซึ่งไม่สามารถร่วมชีวิตด้วยกันได้ เนื่องจากงานของเขาเสี่ยงต่อความปลอดภัยของคนใกล้ชิด
ดังนั้น ในหนังภาคก่อนหน้า อีธันจึงจำใจจำจากภรรยาสุดที่รัก โดยให้เธอไปอยู่ในที่ปลอดภัย เพื่อที่เขาจะได้ทำหน้าที่รักษาโลกให้อยู่รอดปลอดภัยจากเงื้อมมือคนร้ายที่คุกคามต่อสันติภาพและสวัสดิภาพของคนส่วนรวม
อเล็ก บอลด์วิน ยังคงรับบทบิ๊กบอสในหน่วยงานไอเอ็มเอฟ รวมทั้งแอนเจลา แบสเซ็ตต์ ในบทหัวหน้าซีไอเอตัวแสบ ที่ดูเหมือนคอยขัดขวางการทำงานของอีธันโดยตลอด
คนหน้าใหม่ที่เป็นตัวละครหลักสำหรับหนังภาคนี้คือ ออกัสต์ วอล์กเกอร์ (เฮนรี คาวิลล์ หรือซูเปอร์แมนสุดหล่อคนล่าสุด แต่คราวนี้มาในมาดเข้มแบบไว้หนวด) เขาเป็นคนของซีไอเอ ที่ถูกส่งตัวมาคอยจับตาดูการปฏิบัติงานของอีธัน
ใครจะเป็นใคร ฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด ฝ่ายไหนพระเอกฝ่ายไหนผู้ร้าย ก็ขอเชิญไปดูกันเองนะคะ
บอกได้เพียงแต่ว่า หนังสนุกค่ะ

 

ทอม ครูส ยังคงโลดโผนโจนทะยาน กระโดดข้ามตึก เกาะเชือกเฮลิคอปเตอร์ เหวี่ยงตัวข้ามทึ่สูง แบบบ้าบิ่นท้ามัจจุราชและไม่พรั่นต่อการตกลงไปคอหักตาย
ฉากบู๊และฉากไล่ล่ายังคงมันส์ทุกหยด แม้จะรู้แล้วว่าพระเอกจะไม่มีวันตายก็ตาม
ข่าวที่ว่าทอม ครูส ในวัยห้าสิบเจ็ด ยังคงเล่นบทบู๊ทุกฉากเองโดยไม่ยอมใช้สตั๊นต์แมนเล่นแทน ยังคงสร้างความน่าทึ่งให้แก่ฉากโลดโผน แถมด้วยข่าวประชาสัมพันธ์ก่อนหน้าที่ว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากการเล่นบทบู๊ เลยทำให้ต้องนึกเดาว่าเป็นฉากไหนกันแน่
อ้อ ขอบอกหน่อยว่าหนังภาคนี้มีนางเอกสองคน แบบที่แทบเดาไม่ถูกว่าพระเอกจะเลือกคนไหนกันแน่ เพราะต่างสวยและดีด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าภาคต่อไป (ถ้ายังมี) จะใช้นางเอกคนไหนต่อ
Fallout เป็นหนังความยาวสองชั่วโมงครึ่ง แต่ในขณะดูอยู่ รู้สึกเหมือนหนังความยาวปกติสองชั่วโมง ซึ่งน่าจะแปลว่าเป็นหนังที่สนุกเร้าใจอยู่ตลอดเวลา
ที่สำคัญสำหรับผู้เขียนที่มีความประทับใจอันดีกับหนังชุดทางโทรทัศน์นี้ คือ เป็นไปตามคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมของหนังทุกประการ
เลยเหมือนกับเป็นการย้อนเวลาหาอดีต โดยใช้เทคนิคการถ่ายทำของยุคปัจจุบันที่มีศักยภาพและทุนสร้างมากกว่าเดิมอย่างเทียบกันไม่ติด

แต่หลังจากดูจบแล้ว ก็นึกเบื่อที่จะเห็นหน้าทอม ครูส อีกในภาคต่อไปที่อาจมี ครูสพยายามทำทุกอย่างเพื่อฝืนวัยและภาพลักษณ์ไว้จนสุดฤทธิ์ ถึงกระนั้น ความไวของกล้องก็ยังจับให้เห็นได้ว่าใบหน้าของเขาไม่ได้คงความหนุ่มแน่นตามธรรมชาติ เหมือนคนที่ฉีดสารผ่านมีดหมอมาจนเยินนั่นแหละค่ะ
ยิ่งเอาไปเทียบกับหนังสมัยที่เขายังเป็นหนุ่มรุ่นกระทง และหล่อซะไม่มี…
เนื่องจากทอม ครูส เป็นผู้อำนวยการสร้างเอง นำแสดงเอง สงสัยว่าเขาจะยังคงไม่ยอมวางมือจากแฟรนช์
และยังคงต้องโปรโมตตัวเองอีกต่อไปแน่ๆ