ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 มิถุนายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
ผู้เขียน | จรัญ มะลูลีม |
เผยแพร่ |
อินเดียศึกษาทำให้รู้จักอินเดียมากขึ้น จนนำมาสู่บทสรุปกว้างๆ ได้ว่าอินเดียเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อาจกล่าวได้ว่า ประชากร ประชาธิปไตยและความต้องการที่อินเดียมีอยู่ทำให้อินเดียได้รับความสนใจจากโลก
ดังได้กล่าวมาแล้วอินเดียมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ประชาธิปไตยในภาคปฏิบัติยังวางอยู่บนการเปลี่ยนผ่านทางอำนาจอย่างสันติ
มีระบบตุลาการที่เป็นอิสระ และมีเสรีภาพในการสื่อสาร
ทั้งนี้ บทบาททางการเมืองและการทหารทำให้ประเทศอินเดียปัจจุบันเป็นประเทศที่น่าสนใจ
นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นดินแดนอันเก่าแก่ ซึ่งหลายอารยธรรมมาเจริญเติบโตที่นี่ อินเดียเป็นประเทศที่เป็นอิสระ เป็นชาติที่พึ่งพาตัวเอง
เป็นดินแดนแห่งความหลากหลาย ซึ่งความหลากหลายดังกล่าวล้วนเป็นรสชาติของชีวิต อินเดียเป็นชาติแห่งการอยู่ร่วมกันมากกว่าแค่ความเป็นสายเลือด
การกระจายตัวออกไปในดินแดนต่างๆ ของชาวอินเดีย (Indian Diaspora) ได้ขยายผ่านพื้นที่ต่างๆ ของโลก ซึ่งล้วนนำเอาชื่อเสียงมาสู่ประเทศและเป็นที่รู้จักอยู่ในทุกๆ ด้าน
ปัจจุบันอินเดียมีรัฐอยู่ 29 รัฐ และแต่ละรัฐก็มีความแตกต่างกัน มีการแต่งกาย อาหาร ฯลฯ เป็นของตนเอง
คนหนุ่มสาวของอินเดียล้วนมีความคุ้นเคยกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีผลอย่างยิ่งต่อความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศ อินเดียจึงมีศักยภาพที่จะขึ้นมาเป็นชาติที่เต็มไปด้วยอำนาจในอนาคต
เสรีภาพของสื่อ
อินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่มีสื่อเสรีและมีสื่อสิ่งพิมพ์นานาชนิด มีความหลากหลาย มีสิ่งพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในภาษาฮินดี อุรดู อังกฤษ และภาษาท้องถิ่นต่างๆ เป็นตลาดหนังสือพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองรองจากประเทศจีน โดยมีหนังสือพิมพ์ 99 ล้านฉบับขายทุกวัน
จากรายงานของสมาคมหนังสือพิมพ์โลก (World Association of Newspapers) พบว่าอินเดียมีหน่วยงานชั้นนำอย่าง Press Trust of India หรือ PTI และ United News of India หรือ UNI
ในปี 2005 รัฐบาลได้เปิดเสรีด้านอุตสาหกรรมการพิมพ์ขึ้นในประเทศ ด้วยการอนุญาตให้คนต่างชาติเป็นผู้ตีพิมพ์ด้วยตัวเองที่อินเดียได้
การที่อินเดียได้รับฉายาว่าเป็น “ประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก” (The world”s largest democracy) และเป็นประเทศที่มีสื่อเสรีและเป็นพหุสังคมนี้เป็นที่ได้รับความชื่นชมมาช้านาน
ในเรื่องเหล่านี้อินเดียยังเหนือกว่าประเทศที่ประชาธิปไตยหยั่งรากมายาวนาน จนเรียกได้ว่า “มีประชาธิปไตยเต็มตัว” อย่างสหรัฐอเมริกาและอังกฤษอีกด้วย
ไทย-อินเดียในฐานะหุ้นส่วน
ทางยุทธศาสตร์
จากความสัมพันธ์ที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องทั้งไทยและอินเดียเห็นพ้องที่จะยกระดับความร่วมมือระหว่างกัน และพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership)
โดยไทยต้องการให้อินเดียมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเน้นความร่วมมือในด้านการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและอาเซียนกับอินเดีย
ในเรื่องการเชื่อมต่อทางบกระหว่างไทย-อินเดีย รวมทั้งพม่านั้นได้มีการสนับสนุนให้ทางหลวงของทั้งสามประเทศสำเร็จลงโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียที่มีการเข้าถึงได้น้อยกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ สมาชิกของอาเซียนเองก็สามารถเชื่อมต่อได้กับระเบียงอุตสาหกรรมเดลี-มุมไบ (Delhi-Mumbai Industrial Corridor) และระเบียงเศรษฐกิจ เชนไน บังกะลอร์ หรือในชื่อใหม่ว่าบังกาลูรู (Chennai Bangalor (Bangaluru) Economic Corridor) ได้
อินเดียหวังว่าโดยผ่านทางหลวงนี้ สินค้าจำนวนมากจะเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว มีราคาถูก โดยสินค้าดังกล่าวจะข้ามเข้ามาทางพม่าและประเทศไทย รวมทั้งเพื่อนบ้านของไทย
การเชื่อมต่อการเดินเรือระหว่างอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านสาธารณูปโภคของท่าเรือเชนไนของอินเดีย และทวายของพม่า รวมทั้งแหลมฉบังของประเทศไทย จะทำให้ห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคมีความเข้มแข็งขึ้น
ได้มีการเดินทางภายในเมืองใหญ่ๆ ของสองประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ที่ผ่านมาชาวอินเดียราวหนึ่งล้านคนได้เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย
นอกเหนือไปจากการเชื่อมต่อเข้าด้วยกันแล้ว ประเทศไทยและอินเดียมีบันทึกความเข้าใจร่วมกันเพื่อยกระดับการป้องกันประเทศและความร่วมมือทางยุทธศาสตร์
ซึ่งจะครอบคลุมอาชญากรรมข้ามชาติ การตอบโต้การก่อการร้าย การบริหารภัยพิบัติ และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การนำเอากฎเกณฑ์ของกฎหมายมาใช้ ความมั่นคงทางเรือ ความมั่นคงทางทะเล และการแลกเปลี่ยนข่าวกรองอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในทางการค้าพบว่าปัจจุบันอินเดียอยู่ในฐานะที่เป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทย เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างก็ผลิตสินค้าที่คล้ายคลึงกัน และมีสินค้าหลายประเภททำเหมือนกันทั้งในรูปแบบและลักษณะไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม เช่น กุ้งแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป สิ่งทอ เครื่องหนัง อัญมณี เป็นต้น
ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศสามารถเปลี่ยนจากคู่แข่งขันมาเป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันได้โดยหาจุดแข็งของตนเอง
การลงทุนและการพัฒนา
จากภาพรวมการพัฒนาทางเศรษฐกิจของอินเดียที่แสดงให้เห็นความเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศที่น่าลงทุนและมีการลงทุนสำคัญๆ เพิ่มมากขึ้น
การลงทุนในอินเดียส่วนหนึ่งมาจากอินเดียปรากฏตัวขึ้นมาในฐานะประเทศของผู้ประกอบธุรกิจที่เข้มแข็งที่สุดที่มีการจัดการได้ดีในระดับโลกในเรื่องของการร่วมทุนและกระบวนการซื้อขาย กิจการด้านการร่วมทุนและการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
การลงทุนและการซื้อขายนั้นยังคงเป็นภาคธุรกิจที่โดดเด่นคิดเป็นร้อยละ 23 ของมูลค่าธุรกรรมทั้งหมด
ความสัมพันธ์ทางสังคม
และวัฒนธรรม
สําหรับความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยและอินเดียนั้นเป็นที่รับทราบกันมาเป็นอย่างดีแล้วว่ามีมาช้านานไม่น้อยกว่า 700 ปี ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะที่ไทยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ซึ่งอินเดียและไทยได้ลงนามในความตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างกันเมื่อวันที่ 29 เมษายน ปี 1977 นับเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ
สังคมและวัฒนธรรมของไทยมีความใกล้ชิดกับอินเดีย ซึ่งไทยได้รับอิทธิพลทางสังคมและวัฒนธรรมส่วนใหญ่มาจากอินเดีย แต่ไทยไม่ได้รับเอามาทั้งหมด ไทยได้นำมาปรับให้เข้ากับความต้องการจึงมีทั้งพระราชพิธีเกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์ เช่น พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ทางด้านศาสนา ชาวไทยรับทั้งศาสนาพราหมณ์และพุทธมาจากอินเดียจึงได้พบเห็นทั้งเทวรูป พระอินทร์ พระพรหม พระวิษณุ และประเพณีที่เกี่ยวกับชีวิตของคนไทย เช่น การโกนจุก บวช การทำบุญอุทิศส่วนกุศล เป็นต้น
ทางด้านภาษาและวรรณคดี และศิลปะไทยล้วนได้แบบอย่างมาจากอินเดีย วรรณคดีที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดียและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือรามเกียรติ์ ศิลปะการแสดง เช่น โขน รำมโนราเป็นต้น หรือแม้แต่อาหารการกินบางอย่างไทยก็ได้รับมาจากอินเดียเช่นกัน เช่น แกงเผ็ด น้ำพริก เครื่องเทศต่างๆ ที่ใส่แกง
โดยภาพรวมจึงเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ทางสังคม และวัฒนธรรมระหว่างไทยและอินเดียมีความกลมกลืน ซึ่งความสัมพันธ์ในระดับประชาชนที่ดีจะนำไปสู่ความร่วมมือในด้านอื่นๆ ที่จะตามมาในที่สุด