ประภาส อิ่มอารมณ์ : ผีฝรั่ง…!!

ถ้าใครบอกไม่กลัวผี คนนั้นคงมีแต่สัปเหร่อ นอกนั้นบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ จึงต้องตามกลับไปที่ต้นเหตุ…ว่า ผีมีจริงหรือเปล่า ซึ่งคงยังหาคำตอบชัดเจนไม่ได้ พอๆ กับความพิศวงในเรื่องของมนุษย์ต่างดาว

ดังนั้น ผีจึงถูกเอามาหากิน ตั้งแต่ผู้ใหญ่เล่าให้เด็กๆ ฟัง และจำเพาะต้องเป็นตอนกลางคืนเสียด้วย เด็กๆ แม้จะกลัว แต่ก็อยากฟัง แม้จะกอดกันกลมด้วยความหวาดกลัวปนสนุกสนาน ตอนที่ต้องนั่งเบียดเสียดบนไม้กระดานแผ่นเดียวกัน เพราะกลัวผีจะแยงเล็บขึ้นมาตามร่องพื้นไม้

มีการสร้างจินตนาการของผีออกมาเป็นเรื่องราว ถ่ายทำเป็นภาพยนตร์ ที่สามารถใช้เทคนิคการตัดต่อ ให้เกิดความน่ากลัวยิ่งขึ้นไป แม้ผู้ชมจะรู้ว่ามันเป็นผีปลอมๆ ที่ถ่ายทอดอยู่บนจอในโรงหนังก็ตาม และก็แปลก ที่คนกลัวผีนั่นแหละชอบเสียตังค์มาดูกันนัก

ผีไทยที่เป็นอมตะนิจนิรันดร์ คงไม่มีตัวไหนเกิน นางนากพระโขนง ที่นำกลับมาสร้างกี่ยุคกี่สมัยก็มีคนมานั่งตัวลีบ แอบดูนางนากมาเขย่าขวัญพร้อมโกยเงินกลับไปทุกที

ป๊อด เป็นนักเรียนศิลปศึกษา แต่ตัดสินใจไม่ตามเพื่อนที่จบปีสองแล้วไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากร เขาเลือกเรียนที่เดิมจนจบปีสาม (สมัยนั้นมีแค่ปีสาม) เพราะรู้ตัวเองว่าฝีมืออยู่ปลายแถว คงไม่สามารถฟันฝ่าจนได้ปริญญามาอย่างแน่นอน

แต่ป๊อดก็ได้สิ่งชดเชยมา ในเรื่องมีความสามารถกับการจัดสวน ที่ได้มาจากความรักและสนใจพืชพันธุ์ไม้ เพราะซึมซับมากับความเป็นลูกชาวสวนแต่กำเนิดนั่นเอง

เพื่อนๆ รู้ดีว่า ป๊อดเป็นนักกลัวผีตัวยง เพราะเขามีเรื่องราวที่บอกว่า ถูกผีหลอก มาเล่าให้ฟังมากมาย และบางเรื่องก็ถูกทึกทักเอาเองว่า ถูกผีหลอก

และมีเหตุการณ์สมัยเด็ก ที่ทำให้ป๊อดเริ่มต้นกลัวผีเอามากๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา…

สมัยก่อน พอหนังขายยาตั้งจอฉายหนังกลางแปลงเมื่อใด พวกเด็กๆ จะตื่นเต้นรอคอยว่าเขาจะฉายหนังเรื่องอะไรในค่ำคืนนั้น ที่นิยมชมชอบอันดับหนึ่ง คงหนีไม่พ้นหนังคาวบอย ที่ขี่ม้าหลบหนีอินเดียนแดง จนกองทหารขี่ม้าเป่าแตรมาช่วย พวกเด็กๆ จะตบมือเป่าปากด้วยความยินดี

ทาร์ซาน ก็เป็นอีกหนึ่งความฮิตติดอันดับต้นๆ ยิ่งตอนทาร์ซานโห่เรียกโขลงช้างมาช่วยไล่ถล่มพวกผู้ร้ายแล้ว คนดูจะโห่ร้องดีใจไม่แพ้กองทหารมาช่วยไล่พวกอินแดงเช่นกัน

หนังตลกอ้วนผอม ก็ดูสนุกสนานแต่ไม่เฮฮานัก เพราะไม่มีบทพากย์ภาษาไทย

แต่หนังผี นานๆ มาที ถึงจะหวาดเสียวอย่างไรก็ถูกบรรยากาศของพวกร้านค้าที่ขายของรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น ถั่วต้ม อ้อยควั่น ข้าวเกรียบว่าว ปลาหมึกย่าง ส่งแสงสว่างทำลายความน่ากลัวลงไปได้เยอะ

แต่ความสยดสยองจะคืบคลานเข้ามาตอนที่หนังเลิกฉาย และคนดูแยกย้ายกันกลับบ้านนี่แหละ เพราะสมัยนั้นตามถนนหนทางไม่มีแสงไฟจากเสาไฟฟ้า นอกจากแสงไฟจากบ้านเรือนที่ตั้งกันห่างๆ พอประปราย

ป๊อด คือเด็กคนหนึ่งที่จะต้องเดินฝ่าความมืดกลับบ้านเข้าไปในสวนเสียด้วย แม้จะพยายามเดินอย่างช้าๆ อ้อยอิ่งคอยหาคนที่จะพอสมทบเดินกลับทางเดียวกันบ้าง ก็ยังไม่มีวี่แวว

สุดท้าย ป๊อดก็รู้ว่าโชคจะไม่เข้าข้างเขาเสียแล้ว คืนนั้นไม่มีใครนอกจากเขาคนเดียว เดินไปและตำหนิตัวเองไป ที่ไม่รอบคอบสืบให้รู้เสียว่าคืนนี้เขาฉายหนังเรื่องอะไรกันก่อน ถ้ารู้แต่ต้นว่าเป็นเรื่องนางนากพระโขนง เขาคงอยู่บ้านไม่ต้องมาพบวิบากกรรมเหมือนสถานการณ์ที่จะต้องกลับบ้านคนเดียวเช่นนี้

ภาพของหนังที่เพิ่งจบไปเมื่อสักครู่ แวบเข้ามาให้เขาเห็นภาพนางนากที่มาอาละวาด สร้างความหวาดผวา ด้วยการแหวกสายสิญจน์จะเข้ามาจับเณรถึงในโบสถ์

ด้วยวัยขนาดเขา และความวิเวกเงียบสงัดที่อยู่รอบตัว ยิ่งทำให้ป๊อดเกิดอาการตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ขาก้าวแทบไม่ออก จนต้องเอามือปิดหูเพื่อไม่อยากได้ยินเสียงอะไร ก้มหน้าเดินเหมือนไม่อยากเห็นภาพ ที่อาจมาสร้างความวอกแวกให้เขาเกิดจินตนาการในทางลบ ซึ่งจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากผีเท่านั้น

เส้นทางเส้นนี้ถือว่าเขาชำนาญมากแทบจะหลับตาเดินได้ แต่ป๊อดรู้สึกว่าคืนนี้หนทางมันช่างยาวไกลและเวลามันก็คืบคลานไปอย่างช้าๆ ไม่ทันอกทันใจเอาเสียเลย…

สักพักด้วยสัญชาตญาณที่สามารถกำหนดได้ว่าเขามาอยู่ตรงไหน ป๊อดรู้ดีว่าข้างหน้าคือสะพานข้ามคลองที่พุ่งตรงไปสู่ทางเข้าบ้านเขา และถ้าผ่านพ้นอุปสรรคตรงนี้ไปได้ ถือว่าการเดินทางใกล้จะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

ซึ่งถ้าเป็นคืนก่อนๆ นั้น หรือคืนไหนก็ตาม ที่ไม่ได้ไปดูหนังนางนากพระโขนงมา เขาสามารถเดินก้าวข้ามไปได้อย่างสบาย

แต่หลังจากเมื่อเดือนที่แล้วมีเจ๊กขายไอติมที่ป๊อดเป็นลูกค้าขาประจำ ลงไปนอนเชือดคอตัวเองตายใต้สะพานนี้ ดังนั้น เมื่อมาถึงตรงนี้ในเวลาค่ำคืน เขาจะใช้วิธีหลับตาแล้วเดินข้ามไปอย่างรวดเร็ว สำหรับคืนนี้มันมีทั้งภาพของนางนาก และเจ๊กขายไอติมเพิ่มเข้ามาเต็มอยู่ในมโนภาพของเขา ป๊อดจึงตัดสินใจตั้งสมาธิให้ดีแล้วหลับตาวิ่งข้ามไปด้วยความรวดเร็ว…

จะเป็นด้วยความซวย หรือจังหวะวินาทีของชีวิตป๊อดไม่ถูกโฉลกกับเรื่องผี

เมื่อขณะที่เขากำลังวิ่งอย่างสุดพละกำลังที่มี และข้ามไปเกือบพ้นปลายสะพานแล้ว ร่างของป๊อดก็ชนกับร่างของใครก็ไม่รู้ที่เดินสวนทางมา ทำให้ทั้งคู่กระเด็นล้มกลิ้งลง และด้วยความตกใจกับสิ่งที่ไม่คาดคิด ทำให้ทั้งคู่แหกปากร้องลั่นจนไม่สามารถจับใจความได้

สำหรับป๊อดนั้น… ตกใจมากจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น และเมื่อลุกขึ้นได้เขาก็ยังแหกปากหลับตาวิ่งต่อไปจนเข้าบ้านได้เป็นที่เรียบร้อย

วันรุ่งขึ้น และอีกหลายวันต่อมา ป๊อดต้องนอนซมเป็นไข้ ถึงไม่หัวโกร๋น ตามตำราผู้ใหญ่ที่กล่าวขานไว้ว่า “ถูกผีหลอก จนจับไข้หัวโกร๋น” ก็ตาม แต่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผีมันได้เข้ามาสิงอยู่ในลำดับต้นๆ ของสิ่งร้ายๆ ที่เขาเกลียดและกลัวอย่างที่สุดด้วย

บางคนกล่าวว่า ถ้ากลัวผี มักจะได้เห็นผีบ่อยๆ ป๊อดอยู่ในจำนวนคนเหล่านั้น

สมัย เจมส์ ดีน นักแสดงเจ้าบทบาทกำลังฮิตในกลุ่มวัยรุ่น ด้วยทรงผมและใบหน้าอันหล่อเหลา จึงไม่แปลกที่ร้านตัดผมชายจะมีภาพของดาราคนนั้นติดล่อใจ เป็นสิ่งการันตีถึงการเขาถึงกระแสของแฟชั่นที่กำลังคลั่งไคล้ ป๊อดก็เป็นลูกค้าร้านนั้นด้วยเหมือนกัน แม้จะเป็น เจมส์ ดีน หน้าตี๋ก็ไม่เห็นเป็นไร

เพื่อจะให้ครบความเป็น เจมส์ ดีน แฟนคลับ เหล่าสาวกจะต้องไม่ขาดสร้อยคอเงินที่ห้อยประดับด้วยไม้กางเขนเล็กๆ แม้จะไม่ได้นับถือคริสต์ก็ตาม ป๊อดมีหรือที่จะไม่จัดไปให้ครบเครื่อง

และ…มีผลภายหลังที่ทำให้เขาต้องตัดใจโยนมันทิ้งอย่างไม่ไยดี

เพื่อนรักคนหนึ่งของป๊อด มีปัญหาต้องย้ายบ้านไปอาศัยอยู่กับญาติแถวถนนพระอาทิตย์ ซึ่งอยู่ในบริเวณโรงเรียนสตรีเก่าแก่โรงเรียนหนึ่ง ชาวบ้านแถวนั้นรู้กิตติศัพท์ดีว่าที่นั่นผีดุ แต่เพื่อนคนนั้นไม่ได้บอกให้ป๊อดรู้ เพราะถ้ากระโตกกระตากไปจนไก่ตื่น เขาจะขาดคนที่มาช่วยขนของไปอย่างแน่นอน

กว่าจะเสร็จภารกิจและช่วยกันจัดของให้เข้าที่ก็มืดค่ำลง ทั้งเหนื่อยและเมื่อยล้าจนไม่อยากทำอะไรต่อไป เพื่อนจึงชวนให้ป๊อดนอนค้างเพราะบ้านของเขาไกลจากแถวนั้นมาก ป๊อดก็ตกลงเห็นดีด้วย

คืนนั้นตอนดึก ขณะที่ทั้งคู่กำลังหลับในมุ้งอย่างสบาย…จู่ๆ ป๊อดก็สะดุ้งผุดลุกขึ้นนั่ง เหงื่อแตกพลั่ก พร้อมเขย่าเพื่อนให้ตื่น และเล่าให้ฟังว่า เมื่อกี้มุ้งถูกเปิดขึ้น แล้วมีผู้หญิงแก่ผอมเกร็ง ผมยุ่งกระเซิง โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นางตรงขึ้นมานั่งบนอกเขาแล้วเอามือมาบีบคอจนหายใจไม่ออก เสียงแหบแห้งของนางพูดกับป๊อดว่า “ใครใช้ให้มึงห้อยไม้กางเขนเข้ามาในบ้านกู” ป๊อดดิ้นรนและสวดมนต์เท่าที่จะนึกได้ จนนางหายไป

เพื่อนก็ปลอบว่าเขาคงเหนื่อยและฝันร้าย แต่ก็อดเสียวสันหลังไม่ได้เหมือนกัน เนื่องจากรู้ดีว่าที่นี่เจ้าที่เจ้าทางเขาแรงตามคำเล่าลือ

สุดท้ายป๊อดก็รีบแต่งเนื้อแต่งตัวกลับบ้านด่วนในคืนนั้นเลย และยอมตกเทรนด์ไม่ห้อยไม้กางเขนนั้นอีกต่อไป

แต่คราวนี้เขาเปลี่ยนเป็นห้อยพระเครื่องจนหนักเต็มคอ ไม่ยอมถอดแม้แต่ยามนอนก็ตาม และยังไม่วายมีเรื่องผีๆ สางๆ มาเล่าให้เพื่อนฝูงฟังกันอยู่เสมอ ซึ่งมีเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาหน้าแตกและอับอายเป็นที่สุด…

เนื่องจากว่า เพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งนับถือคริสต์ และสนิทสนมกับบาดหลวงที่เขาไปเข้าโบสถ์ฟังท่านเทศนาแทบทุกอาทิตย์ วันหนึ่งท่านมาปรึกษาเขาว่า อยากจะได้ทีมคนดูแลสวนชุดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณสุสานต้องสะอาดเรียบร้อย เพราะถูกร้องเรียนมาว่า คนที่ทำอยู่ไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร เพื่อนคนนั้นจึงนึกถึงป๊อดและอาสาจะพามาพบกับท่านโดยเร็ว

เมื่อบอกเรื่องนี้กับป๊อด พอรู้ว่ามีสุสาน หรือชาวบ้านเรียกป่าช้าฝรั่งเข้ามาเกี่ยวข้อง เขารีบปฏิเสธทันที แต่เพื่อนคนนั้นขอร้องให้เขาไปดูหน้างานก่อน เพราะมันไม่น่ากลัวอย่างที่ป๊อดคิด และค่าจ้างก็งดงามเสียด้วย พร้อมนัดสถานที่ที่จะไปพบกันในวันรุ่งขึ้น

ป๊อดไปถึงสถานที่นัดหมายตรงหน้าทางเข้าสุสาน รออยู่สักพักเพื่อนก็ยังไม่มา เขาพอเริ่มชินกับบรรยากาศตรงนั้นบ้างแล้ว เพราะดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แม้จะเงียบแต่ไม่วังเวงเหมือนป่าช้าไทย เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจดูหน้างานเพื่อไม่ให้เสียเวลา พอขยับเข้าไปได้สักครู่เสียงมือถือของป๊อดก็ดังขึ้นในความเงียบนั้น

ป๊อดเป็นคนขี้เหนียว แม้หน้าจอโทรศัพท์จะมีรอยแตกรอยข่วนจนไม่สามารถกดเลขหมายโทร.ออก หรือรับรู้ว่าใครโทร.มา ก็ยังทนใช้มันอยู่ได้ ดังนั้นการเรียกให้รับสายครั้งนี้เขาจึงไม่รู้ว่าโทร.มาจากไหน

“ฮัลโหล” เสียงของป๊อดแสดงความพร้อมในการรับฟัง

“Hello! Good morning. How are you?”

ป๊อดเงียบได้แต่ฟังต่อ

“Hello! Good morning. How are you?”

เสียงผู้เรียกส่งภาษาอังกฤษสวนมาอีกและทำเสียงกระเส่าน่ากลัว ทำให้ป๊อดหยุดชะงัก ตาเบิกโพลง อ้าปากค้าง เพราะเขาไม่เคยรู้จักฝรั่งที่ไหนมาก่อน เสียงทางโน้นก็ตะโกนซ้ำเป็นภาษาอังกฤษอยู่เหมือนเดิม เท่านั้นเองวิญญาณของการกลัวผีก็เข้ามาครอบงำสติของป๊อดให้ขาดกระเจิง

เขามโนไปว่าถูกผีฝรั่งในนี้หลอกเอาเสียแล้ว จึงโยนโทรศัพท์อันเก่าคร่ำคร่าทิ้งอย่างไม่ไยดี หันหลังกลับได้ก็วิ่งอย่างรวดเร็วออกจากสุสานนั้นไปทันที

ตอนเย็น เพื่อนคนนั้นก็มาหาป๊อดที่บ้าน พร้อมยื่นโทรศัพท์ที่เขาโยนทิ้งคืนให้เจ้าของ

“เห็นโทรศัพท์ของเอ็งเลยรู้ว่าเอ็งมาแล้ว แต่ทำไมไม่รอข้าวะ” เขาติงเพราะรู้ว่าป๊อดไม่ได้ผิดนัด

“วุ้ย! กูไม่เอาแล้วทิ้งแม่งมันไปเลย เอ็งเก็บกลับมาทำไมวะ” ป๊อดพูดแล้วตาจ้องมองโทรศัพท์ของตนเองแต่ยังไม่ยอมรับ

“อ้าว! ทำไมล่ะ กูอุตส่าห์เก็บมาให้”

“ไม่เอา! ผีฝรั่งแม่งอยู่ในนั้น มันหลอกกูมาแล้วที่ป่าช้าพวกมัน”

“มันหลอกยังไง”

“ก็มันโทร.เข้ามา กู๊ดมอร์นิ่งกูนะซี”

“มึงนี่ ขี้ขลาดตาขาวจริงๆ ผีเผอที่ไหน เสียงกูเองเดาะพูดภาษาฝรั่งล้อเล่นกับเอ็งแค่นั้นเอง”

“ไอ้ เ…อี้…ย…” ป๊อดครางด้วยความเขินและเจ็บใจที่ถูกเพื่อนหลอก