ชาคร ศิริสุวรรณสิทธิ์ : มหาธีร์ โมฮัมหมัด บิดาแห่งมาเลเซียยุคใหม่

“มหาธีร์ โมฮัมหมัด” ไม่เคยแพ้การเลือกตั้ง และยังคงรักษาสถิตินั้นเอาไว้ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย วัย 92 ปี ในฐานะผู้นำพรรคพันธมิตรฝ่ายค้าน “ปากาตัน ฮาราปัน” ได้รับเลือกให้กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง

ทำสถิติเป็นผู้นำประเทศที่มาจากการเลือกตั้งที่มี “อายุมากที่สุดในโลก”

ก่อนหน้านี้ “มหาธีร์” เป็นผู้นำพรรคพันธมิตร “บาริซาน เนชั่นแนล” พรรครัฐบาลยาวนาน 22 ปี นับตั้งแต่ปี 1981 นับเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมาเลเซีย

แม้มหาธีร์จะมีบุคลิกอันเป็นแบบนักเลงโต ไม่ยอมอ่อนข้อ และทนไม่ได้กับผู้เห็นต่าง

แต่ก็ได้รับการยกย่องจากผลงานนำพามาเลเซียจากชาติอันซึมเซาไปสู่หนึ่งในชาติอุตสาหกรรมยุคใหม่ของโลกได้

 

มหาธีร์ โมฮัมหมัด เกิดในรัฐเกดาห์ ตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ในช่วงเวลาซึ่งตกอยู่ในการปกครองของอังกฤษ เคยมีประสบการณ์กับภาวะขาดแคลนอาหารในยุค “เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่” ทั่วโลก ในช่วงทศวรรษที่ 30

มหาธีร์มีอาชีพเป็นแพทย์ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่วงการการเมืองในฐานะ ส.ส. ของพรรคอัมโน ในปี 1964

มหาธีร์ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำมาเลเซียในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของประเทศในปี 1981 ก่อนเริ่มต้นดำเนินนโยบายนำมาเลเซียสู่ความทันสมัย

รัฐบาลภายใต้การนำของมหาธีร์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สะพาน ถนนหลวงหกช่องทางถูกสร้างขึ้นทั่วประเทศ ปิดท้ายด้วยการพัฒนาเมืองหลวงด้วยงบประมาณมหาศาล มีสัญลักษณ์เป็นอาคารเปโตนาส อาคารสูง 88 ชั้นคู่แฝด ที่ในเวลานั้นทำสถิติเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลก

มหาธีร์ชนะการเลือกตั้งทั่วไป 5 ครั้งติดต่อกัน ในขณะเดียวกันการสะสมอำนาจเพิ่มมากขึ้นด้วยการนำ “กฎหมายความมั่นคงภายใน” อันเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาใช้ ส่งผลให้มีการควบคุมตัวนักเคลื่อนไหว ผู้เห็นต่างทางการเมือง

ซึ่งรวมไปถึง “อันวาร์ อิบราฮิม” รองนายกรัฐมนตรีที่มหาธีร์ไล่ออกจากตำแหน่งในปี 1998 ก่อนถูกจำคุกในข้อหาร่วมเพศทางทวารหนักในปี 1999-2004

และถูกจำคุกในข้อหาเดียวกันอีกครั้งในยุคนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ปี 2015 ข้อหาซึ่งอันวาร์ระบุว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง

 

หลังวางมือ มหาธีร์กลับมามีบทบาททางการเมืองอีกครั้งในปี 2016 ด้วยการประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคอัมโน หลังสมาชิกพรรคยังคงสนับสนุนนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในเวลานั้น แม้จะมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการยักยอกเงินกองทุน 1 เอ็มดีบี ก็ตาม

ชัยชนะของ “มหาธีร์” ถูกมองว่าเป็นการพลิกล็อกสลับขั้วการเมืองอย่างเหลือเชื่อ เมื่อนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อดีตคนในคุ้มครองของมหาธีร์ และผู้ที่ได้รับการคาดหมายว่ามีโอกาสชนะการเลือกตั้งมากที่สุดกลับต้องพบกับความพ่ายแพ้

นอกจากนี้ มหาธีร์ยังประกาศจะอยู่ในตำแหน่งเพียงสองปีก่อนส่งต่ออำนาจให้กับผู้นำฝ่ายค้านอย่างอันวาร์ อิบราฮิม ผู้ที่เพิ่งพ้นโทษเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา

“ตอนเขาปกครอง ผมเป็นผู้ต่อต้านมหาธีร์ตัวยง” โจเซฟห์ พอล ชาวมาเลเซียวัย 70 ปี ผู้ที่เข้าร่วมการฉลองชัยชนะของมหาธีร์ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ระบุกับรอยเตอร์

“ทว่าการเมืองเขาว่ากันว่าเป็นศิลปะของความเป็นไปได้ ดังนั้น หากเขามาเพื่อไล่ปีศาจอีกตนหนึ่ง ทำไมจะไม่เลือกเขาล่ะ” โจเซฟห์ระบุ

 

การพลิกขัวการเมืองของมหาธีร์มาจับมือกับอดีตศัตรูทางการเมืองอย่างอันวาร์ ที่เคยนำคนนับแสนคนออกมาประท้วงต่อต้านมหาธีร์บนท้องถนน เมื่อปี 1998 กลายเป็นความหวังให้กับประชาชนชาวมาเลเซียที่เบื่อหน่ายกับปัญหาเศรษฐกิจ บวกกับเรื่องอื้อฉาวจากการทุจริต

หลังชัยชนะอันน่าเหลื่อเชื่อ นับจากนี้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของมาเลเซีย มีงานที่รออยู่มากมายโดยเฉพาะการทำตามคำมั่นด้านเศรษฐกิจใน 100 วันนับจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกภาษีสินค้าและบริการ การเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และการอัดฉีดเงินอุดหนุนราคาน้ำมันของประเทศอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการไล่บี้เอาเงินงบประมาณที่หายไปจากกองทุน 1 เอ็มดีบี ที่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ที่มหาธีร์ระบุว่าเป็นสิ่งที่จะต้องทำเป็นลำดับแรก