High Line ขอบคุณที่ไม่ทุบทิ้งในวันนั้น เพราะในวันนี้เดินกี่ทีก็ไม่เบื่อ

อัษฎา อาทรไผท

เมื่อผมคุยกับเพื่อนหรือญาติที่อยู่นิวยอร์ก ส่วนมากจะไม่ค่อยรู้จักสถานที่นี้ หรือท่านที่รู้จักก็ไม่เคยไป ส่วนผมเองแม้บ้านอยู่ไกลถึงสะพานสูง กทม. แต่ในรอบ 3 เดือนมานี้ได้ไป High Line มาแล้วถึง 3 ครั้งแล้ว สวมวิญญาณนักท่องเที่ยวเต็มที่

สำหรับสาเหตุที่ไปบ่อย ก็เพราะที่นั่นมีหลากหลายความสุนทรีย์ของชีวิตให้สัมผัส ถ้าให้ค่อย ๆ เล่าละเอียด น่าจะต้องเขียนเป็นเล่มเพราะมีความประทับใจอยู่ในทุกตารางเมตร แต่ถ้าให้เล่าคร่าว ๆ ถึงเหตุผลที่ทำให้ประทับใจทางรถไฟยกระดับเก่า ที่ผันแปรมาเป็นสวนสาธารณะและทางเดินเท้าลอยฟ้า ผมขอเลือกมา 5 หัวข้อ เพื่อที่จะมาชวนท่านที่มีโอกาสมามหานครนิวยอร์ก ให้มาที่นี่เผื่อจะติดใจแบบผม

สิ่งแรกที่เชื้อเชิญให้ผมอยากมาเยือนที่นี่เป็นประการแรก คือแนวคิดการเปลี่ยนสถานที่รกร้างให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ แรกเริ่มเดิมที่ทางรถไฟยกระดับนี้ ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพราะในบริเวณตะวันตกของเกาะแมนฮัตตันตอนกลาง แถว ๆ ถนน 10th Avenue และ 11th Avenue จะมีทางรถไฟที่ใช้สำหรับขนส่งถ่านกิน นมเนย และเนื้อสัตว์ ที่ส่งออกมาจากท่าเรือและโรงงานละแวกนั้นสู่เมือง ตอนที่รถไฟวิ่งในระดับพื้นดิน เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ผู้คนล้มตายและบาดเจ็บมากมาย เขาจึงสร้างรางรถไฟยกระดับนี้ขึ้นมา

พอมาหลังยุค 1950’s รถบรรทุกเริ่มมีบทบาทในการขนส่งมากขึ้น สะดวกขึ้น ทำให้การขนส่งทางรถไฟลดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ไม่มีการใช้งานทางรถไฟสายนี้ และปล่อยให้เป็นทางรถไฟยกระดับร้าง มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด จนมีการเสนอให้ทุบทิ้งเพื่อความสวยงามของเมือง

นับเป็นความโชคดีที่ในปี ค.ศ. 1999 องค์การไม่แสวงหาผลกำไร Friends of the High Line ได้พยายามรณรงค์ ต่อสู้ และหาทุน เพื่ออนุรักษ์ High Line เอาไว้ โดยแปรรูปจากทางรถไฟรกร้าง เป็นสวนสาธารณะและทางเดินเท้าสวยงาม ยาว 2.33 กิโลเมตร และเปิดใช้งานเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2014 แน่นอนว่าไม่มีค่าเข้า ใคร ๆ ก็เข้ามาได้ แต่จะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยดูแล ให้ไม่มีบุคคลอันตรายเข้ามา ฉะนั้นมาเดินที่นี่สบายใจได้

มาถึงเหตุผลที่สอง การเดินไปไหนมาไหนในมหานครนิวยอร์ก จะต้องข้ามถนน รอไฟสัญญาณ และบางทีอาจจะเจอบุคคลไม่พึงประสงค์ระหว่างทาง การใช้ High Line ทำให้ไม่ต้องเจอสักอย่างที่กล่าวมา สามารถเดินชิล ๆ ไปได้จนถึงจุดหมาย มีทางลงอยู่เป็นระยะ ๆ สวนสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้หนาแน่นกำลังสวย เป็นพันธุ์ไม้ที่เกิดขึ้นเองตั้งแต่สมัยรกร้าง ที่ถูกดูแลและเติมแต่งให้สวยงาม

ถ้าเมื่อยเขาก็มีที่ให้นั่งพักผ่อนระหว่างทาง มีจุดชมวิวสวย ๆ ให้ชม มีศิลปะแสดงตามจุดต่าง ๆ และมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ขนาดผมไปห่างกัน 3 เดือน ภาพบนฝาผนังก็ได้รับการวาดใหม่ไปเรียบร้อย เช่นเดียวกับใบไม้ที่เปลี่ยนจากสีเขียวชอุ่มในครั้งแรก สู่สีเหลืองสีแดงในครั้งที่สอง และกิ่งไม้ไร้ใบในครั้งที่สาม ที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล

ความสวยงามยังไม่หมดเพียงนี้ ข้อที่สามที่ทำให้มาที่นี่เพลิดเพลินตานักหนา คือตลอดสองข้างทางของ High Line จะผ่านอพาร์ตเมนท์ราคาแพงดีไซน์โดยสถาปนิกระดับโลก และไม่ได้ผ่านระดับพื้นดิน แต่ผ่านระดับลอยฟ้า และใกล้ขนาดหายเรามองไปที่หน้าต่าง ก็สบตากับผู้พักอาศัยได้เลย ที่สำคัญหลาย ๆ ห้องใจดี เปิดม่านไว้ให้เราได้ชื่นชมความเป็นอยู่ในบรรดาที่พักอาศัยสุดหรู ราคาห้องละราว ๆ 80 – 650 ล้านบาท ได้อย่างใกล้ชิด

เมื่อเดินมายังไม่ทันหายเพลิน หากเดินมาจากถนน 10th Avenue ซึ่งไม่ห่างจากสถานีรถไฟหลัก Pennsylvania Station นัก เราจะมาถึง Chelsea Market ที่สมัยก่อนเคยเป็นโรงงานเก่าของ Nabisco (คุ๊กกี้ Oreo ถูกคิดค้นขึ้นที่นี่) ปัจจุบันได้เปลี่ยนสภาพเป็นสถานที่กิน และช๊อป ชิค ๆ คูล ๆ ของชาว Chelsea มีร้านอาหารเก๋ ๆ ร้านค้าเท่ ๆ มากมาย คัดมาอย่างดีเพื่อต้อนรับทั้งคนนิวยอร์กและนักท่องเที่ยวให้คึกครื้นกันได้ทั้งวัน ที่นี่มีร้านอาหารไทยชื่อ Ayada อีกด้วย คนแน่นมาก และนี่คือสเน่ห์ข้อที่สี่ของการมาที่นี่

ส่วนข้อสุดท้ายจะเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจาก Little Island เกาะสวนสาธารณะแสนสวยที่มนุษย์สร้างขึ้น (ผมเคยเขียนเล่าไปแล้ว สามารถค้นหาอ่านได้ครับ) ที่ตั้งอยู่ห่างไปจาก Chelsea Market เพียงเดิน 5 นาทีเท่านั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของทริป High Line ที่จะมีจุดพีคอยู่ที่นี่

เห็นไหมครับแค่ 5 ข้อก็น่ามาเยือนขนาดนี้ นี่ยังมีอีกตั้งหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตุผู้คนหลากหลายที่ร่วมเดินมาด้วยกัน การแวะพิพิธภัณ์ Whitney ที่ตั้งอยู่สุดทาง High Line ที่จัดแสดงผลงานศิลปะของศิลปินรุ่นใหม่ของอเมริกา แวะย่าน Meat Packing ที่แต่ก่อนน่ากลัวแต่เดี๋ยวนี้น่าเดิน เพราะมีร้านเก๋ ๆ เยอะ หรือจะเป็นเบอร์เกอร์สุดฮิต Shake Shack ใกล้ ๆ กัน จนถึงการไปชม The Vessal แลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ Hudson Yard ที่อยู่อีกปลายสุดของทางเดิน

สรุปแล้วถ้าคุณยังเดินไหว มานิวยอร์กสละเวลาครึ่งวันให้ High Line ครับ ไปกลับ 5 กิโลเมตร ได้ทั้งออกกำลังกาย และความชื่นฉ่ำหัวใจแน่นอน ส่วนผมถ้าหน้าหนาวเขาเปิดให้เดิน ว่าจะมาลองเดินเคล้าหิมะดูสังครั้ง จะได้ครบทั้ง 4 ฤดู