หลวงปู่ทวดผงกัมมัฏฐาน หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก พระนครศรีอยุธยา

สําหรับหลวงปู่ทวด เป็นพระสงฆ์ที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธามากที่สุดรูปหนึ่ง มีการสร้างพระหลวงปู่ทวดในทุกภูมิภาค

ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้แก่ พระหลวงปู่ทวดของวัดช้างให้ จ.ปัตตานี สร้างขึ้นโดยพระอาจารย์ทิม ธัมมธโร

แต่ยังมีพระหลวงปู่ทวดอีกวัดหนึ่ง ซึ่งมีความนิยมสูงและสนนราคาค่อนข้างสูงเอาการ คือ พระหลวงปู่ทวด วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ปลุกเสกโดย “หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ” อดีตพระเกจิที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งเป็นศิษย์สายวัดพระญาติการาม

หลวงปู่ดู่มีความเคารพนับถือหลวงปู่ทวดมาก และมักจะเรียกว่าอาจารย์เสมอๆ เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เมื่อนั่งกัมมัฏฐาน เวลาติดขัดมีปัญหา หลวงปู่ทวดจะมาปรากฏในนิมิต ช่วยแนะนำตลอด ดังนั้น พระเครื่องที่สร้างจึงเป็นพระหลวงปู่ทวดมากมายหลายรุ่น โดยปลุกเสกเดี่ยวทุกครั้ง

ที่รู้จักกันดี คือ เหรียญเปิดโลก สร้างในปี พ.ศ.2532 มีอยู่หลายเนื้อด้วยกัน ทั้งทองคำ เงิน ทองแดง เนื้อตะกั่ว

 

ส่วนในอีกรุ่นที่เป็นพระเนื้อผงกัมมัฏฐาน ซึ่งสร้างมานานแล้ว สนนราคายังไม่สูงมากนัก หลวงปู่ดู่ที่สร้างในระยะแรกแจกอย่างเดียว จึงไม่ค่อยได้พิถีพิถันเรื่องพิมพ์ทรง

พิมพ์พระหลวงปู่ทวด ด้วยเนื้อผงสีขาวเก็บไว้พิมพ์ละไม่มากนักในแต่ละครั้ง เวลาลูกศิษย์หรือผู้เคารพไปกราบขอขึ้นกัมมัฏฐาน จะได้รับมอบพระเนื้อผงขาว 1 องค์ จึงมักเรียกพระเนื้อผงสีขาวทุกพิมพ์ว่า “พระผงกัมมัฏฐาน”

ด้านหลังบางองค์จะปั๊มตรายางสีน้ำเงินเป็นรูปกงจักร ตรงกลางเป็นตัวอักษร พ. ซึ่งหมายถึง พรหมปัญโญ

พระผงดังกล่าว ค้นพบภายในกุฏิหลวงปู่ดู่หลังมรณภาพแล้ว และกรรมการวัดได้รวบรวมปั๊มตรายางไว้ จากนั้นจึงนำออกมาให้เช่า

พระหลวงปู่ทวด วัดสะแก

หลวงปู่ดู่ ถือกำเนิดในสกุล “หนูศรี” เกิดวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2447 ตรงกับวันวิสาขบูชา ที่บ้านข้าวเม่า อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายพุดและนางพ่วง หนูศรี

มารดาถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเป็นทารก ต่อมาบิดาจากไปเมื่ออายุเพียง 4 ขวบ จึงอาศัยอยู่กับยาย โดยมีพี่สาวเป็นผู้ดูแล เริ่มศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ

อายุ 21 ปี บรรพชาอุปสมบทที่วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อฉาย วัดกลางคลองบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์

พรรษาแรก ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรม ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าวัดประดู่โรงธรรม กับเจ้าคุณเนื่อง, พระครูชม และหลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น

ด้านการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น และหลวงพ่อเภา ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา รวมทั้งตำรับตำราที่มีอยู่ จากชาดกบ้าง ธรรมบทบ้าง และเดินทางไปหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่ จ.สุพรรณบุรี และสระบุรี

พรรษาที่ 3 เดินธุดงค์จากอยุธยามุ่งตรงสู่สระบุรี กราบนมัสการพระพุทธฉาย และรอยพระพุทธบาท จากนั้นไปยังสิงห์บุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน กระทั่งอาพาธด้วยโรคเหน็บชาจึงพักธุดงค์

ทั้งนี้ ตัดสินใจไม่รับกิจนิมนต์นอกวัด ตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2490 และถือข้อวัตรฉันอาหารมื้อเดียวมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2500 ต่อมาภายหลังในปี พ.ศ.2525 ศิษย์ต้องกราบนิมนต์ให้ท่านฉัน 2 มื้อ

ปีหนึ่งๆ จะออกมาเพื่อลงอุโบสถเพียง 3 ครั้งเท่านั้น คือ วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา และวันโมทนากฐิน

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

เป็นแบบอย่างของผู้มักน้อยสันโดษ ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีผู้ปวารณาจะถวายเครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ ส่วนใหญ่จะปฏิเสธ คงรับไว้บ้างเท่าที่เห็นว่าไม่เกินเลย อันจะเสียสมณสารูป และใช้สอยพอให้ผู้ถวายเกิดความปลื้มปีติ ก่อนยกให้เป็นของสงฆ์ส่วนรวม ข้าวของต่างๆ ที่เป็นสังฆทาน ถึงเวลาเหมาะควรท่านก็จะระบายออก จัดสรรไปให้วัดต่างๆ ที่อยู่ในชนบทและยังขาดแคลน

ให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนา ถึงกับเมตตาให้ใช้ห้องส่วนตัวที่จำวัดเป็นที่รับรองสานุศิษย์และผู้สนใจได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม

หากลูกศิษย์คนใดสนใจขวนขวายในการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ก็จะส่งเสริม สนับสนุน และให้กำลังใจ ที่สำคัญจะไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติธรรมของสำนักอื่นในเชิงลบหลู่ หรือเปรียบเทียบดูหมิ่น

นอกจากความอดทนอดกลั้นอันเป็นเลิศ ยังเป็นแบบอย่างของผู้ไม่ถือตัว วางตัวเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ยกตนข่มผู้อื่น

 

ด้านวัตถุมงคล มิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ สร้างหรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่อง ด้วยเห็นประโยชน์ เนื่องจากบุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยวทางใจ เคยปรารภว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล”

พระเครื่องบูชาที่อธิษฐานจิตปลุกเสกให้แล้วปรากฏผลแก่ผู้บูชาในด้านต่างๆ เป็นเพียงผลพลอยได้ แต่กุศโลบายที่แท้จริงคือ มุ่งหวังให้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติภาวนา มีพุทธานุสติ เป็นต้น

รับแขกโปรดญาติโยมไม่ขาดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 จนปลายปี พ.ศ.2532 สุขภาพจึงทรุดโทรมลง แต่ใช้ความอดกลั้นอย่างสูง แม้จะมีโรคมาเบียดเบียนอย่างหนัก ก็สู้ออกโปรดญาติโยมเหมือนไม่เป็นไร บางครั้งถึงขนาดที่ต้องพยุงตัวเอง ก็ยังไม่เคยปริปากให้ใครต้องกังวล

เมื่อวันอังคารที่ 17 มกราคม 2533 จึงมรณภาพลงอย่างสงบ ด้วยโรคหัวใจ สิริอายุ 85 ปี พรรษา 65 •

 

โฟกัสพระเครื่อง | โคมคำ

[email protected]