โชคดีเพราะไม่มี

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ผมมีปมด้อยอยู่หลายเรื่อง

เรื่องหนึ่ง คือ ภาษาอังกฤษของผมแย่มาก

ตอนที่เรียนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยจะให้เด็กปี 1 สอบเพื่อวัดระดับความรู้ด้านภาษาอังกฤษ

ถ้าใครภาษาดี ก็ไม่ต้องเรียนอะไรเลย

จากนั้นก็ไล่ระดับลงมา

แน่นอนครับ ผมอยู่ระดับต่ำสุด

เรียนช่วงเช้าด้วย

เป็นสัญลักษณ์ว่าอยู่ใน “ห่วงโซ่ภาษา” ที่ต่ำสุดจริงๆ

เรื่องที่สอง คือ ผมไม่มี “รสนิยม”

เวลาเห็นคนที่มีรสนิยมวิไลทั้งหลาย ผมจะสงสัยว่า “ตา” ของเขาต้องมีเลนส์พิเศษอะไรแน่ๆ

เพราะเลือกหยิบจับอะไรก็สวย

เอาโน่นมาประกอบนี่ก็ดูดี

การเลือกใช้ของแต่ละอย่างจะพิถีพิถัน ละเมียดละไม

และส่วนใหญ่จะแพง

การที่เรายอมรับ “ข้อด้อย” ของตัวเอง มีข้อดีข้อหนึ่ง คือ ทำให้เราไม่ฝืนตัวเอง

อย่างเรื่องภาษาอังกฤษก็พูดเฉพาะที่จำเป็น

ถ้าทับศัพท์เป็นภาษาไทยได้ก็จะใช้ภาษาไทยแทน

หรือเรื่องความอ่อนด้อยทางรสนิยมก็ทำให้เวลามีเรื่องที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับความสวยความงาม

ผมจะโยนให้น้องๆ ที่มีรสนิยมดีกว่าตัดสินใจ

ยกเว้นเรื่องเดียว

…แฮ่ม

ไม่ยอมให้ใครตัดสินใจแทน

 

ตอนเป็นนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ ผมเป็นคนหนึ่งที่คัดค้านเรื่องเครื่องแบบนักศึกษา

เพราะรู้สึกว่าคนเรียนระดับมหาวิทยาลัยควรจะตัดสินใจเรื่องการแต่งกายได้เอง

และความรู้ในห้องเรียน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชุดที่ใส่

ตอนทำงานอาชีพนักข่าวก็ไม่มี “เครื่องแบบ”

จะแต่งตัวอย่างไรก็ได้ ขอให้เป็นชุดสุภาพ เข้าไปเจอผู้ใหญ่ได้

จาก “รองเท้าแตะ” ผมก็เปลี่ยนเป็น “รองเท้าหนัง”

ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาว กางเกงสแล็กส์

แต่งตัวแบบนั้นมานาน จนเมื่อออกจาก “มติชน” ผมก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่

ตามใจตัวเอง

ผมมี “ไอดอล” เรื่องการแต่งกาย คือ “พี่เก้ง” จิระ มะลิกุล

“พี่เก้ง” จะใส่เสื้อยืดสีขาว

กางเกงสีน้ำตาล

เป็น “เครื่องแบบ” ประจำตัว

เจอทีไรก็ชุดนี้ทุกที

“พี่เก้ง” เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาขี้เกียจคิดว่าเช้านี้จะใส่เสื้อสีไหนดี กางเกงแบบไหน

ก็เลยสร้าง “เครื่องแบบ” ของตัวเอง

เป็นไอเดียที่ผมชอบมาก

จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็สร้าง “เครื่องแบบ” ของตัวเอง

เสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ดำ และรองเท้ากีฬา

ที่เลือก “สีดำ” เพราะสีนี้มีคุณสมบัติพิเศษทำให้เราเหมือนจะผอมลง

ทั้งที่น้ำหนักเพิ่มขึ้น

เวลาซื้อเสื้อผ้าก็ง่าย เลือกใส่ก็ง่าย

หยิบเจอตัวไหนใส่ได้เลย

เอาเวลาที่ต้องคิดว่าจะใส่เสื้อตัวไหนดีไปคิดเรื่องอื่นดีกว่า

แต่ถ้ามีงานที่เป็นทางการผมก็ใส่สูท เสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็กส์ และรองเท้าหนังได้สบายๆ

ไม่มีปัญหาอะไร

ถือหลักตามชื่อหนังสือของตัวเองครับ

“ชีวิตไม่ยาก ถ้าตั้งโจทย์ง่าย”

 

พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็วางแผนการเงินอย่างละเอียด เผื่อวันหนึ่งไม่สามารถหาเงินได้แล้ว

มีผู้ใหญ่หลายท่านที่เป็นนักธุรกิจใหญ่เตือนว่าต้องมีเงินเก็บเยอะๆ

แต่เยอะของเขา คือ เยอะมากสำหรับผม

จนสงสัยว่าทำไมต้องมีมากขนาดนั้น

ผมลองคำนวณ “รายจ่าย” ของตัวเองและครอบครัวสำหรับการใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่ต้องประหยัดมากเกินไป

แล้วเทียบกับหลายคนที่รู้จัก

ผมรู้สึกเลยว่าตัวเองโชคดี

โชคดีที่ไม่มี “รสนิยม”

ประหยัดไปได้เยอะเลยครับ

อย่างเรื่องอาหารการกิน

ผมเป็นคนชอบกินอาหารอร่อย

มีโอกาสได้กิน “โอมากาเสะ” ที่ราคาแพงๆ ก็บ่อย

ชอบนะครับ

แต่ไม่ได้ชอบระดับโหยหา

ต้องกินให้ได้

บังเอิญผมเป็นคนชอบอาหารอร่อยแบบสตรีตฟู้ดมากกว่า

“ลิ้น” สำหรับอาหารกลุ่มนี้ถือว่าใช้ได้

แนะนำร้านไหนให้เพื่อน มีแต่คนชมว่าอร่อยจริง

และโชคดีมากที่ตอนนี้มีแอพส่งอาหาร อย่าง โรบินฮู้ด แกร็บ ไลน์แมน ฯลฯ

สำหรับคนชอบกิน แอพพ์เหล่านี้ทำให้การใช้ชีวิตสะดวกขึ้นมากเลยครับ

ทำให้เราได้กินอาหารอร่อยโดยไม่ต้องออกจากบ้าน

อาหารสตรีตฟู้ดดีๆ แพงที่สุดก็หลักร้อย

ไม่ถึงหลักพัน

เมื่อรสนิยมด้านอาหารของผมอยู่ระดับสตรีตฟู้ด

ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จึงไม่สูงนัก

อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องการดื่มไวน์หรือเหล้าดีๆ

คนที่มีรสนิยมในการดื่ม ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะสูงมาก

โชคดีผมเป็นคนที่ดื่มน้อยมาก

เมื่อไม่ใช่นักดื่ม มาตรฐาน “ลิ้น” ของผมเรื่องนี้จึงต่ำมาก

สูตรคณิตศาสตร์การดื่มของผมไม่เหมือนใคร

มีระดับความอร่อยประมาณหนึ่ง

ถ้าเกินกว่านั้นไม่มีประโยชน์

เช่น ถ้าดื่มไวน์ ประมาณ BIN2 ขวดละประมาณ 1,000 บาทผมถือว่าโอเคแล้ว

ไวน์ดีกว่านั้น แพงขวดละแสนก็เท่ากับ BIN2

แบล็กหรือรีเจนซี่ ถือว่าสุดยอด

เกินกว่านั้นเท่ากับแบล็ก

ถ้าเป็นสูตรคณิตศาสตร์ ก็คือ ระดับความอร่อยของผมอยู่ที่ 7

ถ้าสูงกว่านั้นก็เท่ากับ 7

8 = 7

9 = 7

10 = 7

“ลิ้น” ของผมเรื่องไวน์และเหล้ามีแค่นี้จริงๆ

 

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมโชคดี คือ ไม่ชอบสะสมอะไรแพงๆ ที่ “ผู้ชาย” ส่วนใหญ่ชอบกัน

“นาฬิกา” ก็ไม่ชอบ

มี “แอปเปิล วอทช์” อยู่เรือนเดียวใช้จนพังแล้วซื้อใหม่

เรื่อง “รถยนต์” ก็เฉยๆ

ไม่เคยอยากได้รถอะไรแพงๆ เป็นพิเศษเลย

นอนหลับตาฝันมาหลายสิบปี ก็ไม่เคยมีภาพรถหรือนาฬิกาอยู่ในความฝันเลย

มีอย่างเดียวที่ชอบ คือ “รองเท้า”

แต่เป็น “รองเท้ากีฬา” ที่ราคาหลักพัน

เจอร้านรองเท้ากีฬาเมื่อไรไม่ได้

“เข็มทิศชีวิต” จะพาเลี้ยวเข้าทันที

เรื่องไปเที่ยวต่างประเทศก็ไม่ชอบ

เที่ยวในเมืองไทยก็เที่ยวแบบ “ฝันใกล้ใกล้ ไปช้าช้า”

ปักหลักที่ไหนก็ขยับเขยื้อนอยู่แถวนั้น

ไม่ไปไหนไกล

หรือสินค้าแบรนด์เนมทั้งหลายที่คนส่วนใหญ่ชอบ

ผมกลับเฉยๆ

มีความรู้สึกคล้ายๆ กับ “ไวน์”

มาตรฐานระดับ 7

เกินกว่านั้นก็เท่ากับ 7

เมื่อสิบกว่าปีก่อน จำได้ว่าเคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่คุ้นเคยกันซื้อเสื้อแบรนด์เนมยี่ห้อหนึ่งที่มีลายเฉพาะตัวมาให้เป็นของขวัญปีใหม่

เห็นลายของเสื้อแล้วตกใจ

คนชอบก็ชอบแบบชอบจริงๆ

แต่คนชอบใส่เสื้อสีดำเรียบๆ อย่างผมจะรู้สึกว่าฉูดฉาดเกินไป

พี่น้องก็ไม่มีใครมีรสนิยมชอบเสื้อแบบนี้เลย

จะคืนก็ไม่กล้า

ไม่รู้จะให้ใคร

ทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้าเกือบปี ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเอาไปให้คนที่ไม่รู้จักเสื้อแบรนด์เนมเลย

…”คนสวน”

ไม่บอกด้วยว่าเป็นเสื้อแบรนด์เนมราคาแพง

ปีนั้น คนสวนของผมจึง “ไฮโซ” ที่สุดในเมืองจันท์

เพราะใส่เสื้อแบรนด์เนม

ไปเที่ยวไหนก็จะใส่เสื้อตัวนี้ •

 

 

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์

www.facebook.com/boycitychanFC