เปิดคำสั่งอัยการสูงสุด ฟ้อง ‘ชัยวัฒน์’ คดีอุ้มฆ่า บิลลี่กะเหรี่ยงบางกลอย พิสูจน์ความจริงชั้นศาล/อาชญากรรม อาชญา ข่าวสด

อาชญากรรม

อาชญา ข่าวสด

 

เปิดคำสั่งอัยการสูงสุด

ฟ้อง ‘ชัยวัฒน์’ คดีอุ้มฆ่า

บิลลี่กะเหรี่ยงบางกลอย

พิสูจน์ความจริงชั้นศาล

 

กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง สำหรับคดีการเสียชีวิตของบิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ที่ยืดเยื้อยาวนานร่วม 10 ปี

แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินคดีกับเหล่าฆาตกรได้

มีเพียงการยอมรับจากกลุ่มของนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในขณะนั้นว่าได้ควบคุมตัวบิลลี่ไว้ในความผิดมีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง

ก่อนปล่อยตัวไป และกลายเป็นการหายสาบสูญ

จนกระทั่งดีเอสไอเข้ามาทำคดีก็พบกับความจริงว่าที่แท้บิลลี่ถูกฆ่าเผาในถังน้ำมัน 200 ลิตร แถมถังก็ยังถ่วงน้ำอยู่ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานนั่นเอง

ตามมาด้วยความเห็นแจ้งข้อหาฆาตกรรมกับนายชัยวัฒน์และพวก ขณะที่อัยการที่รับเรื่องมีคำสั่งไม่ฟ้อง จนดีเอสไอต้องนำพยานหลักฐานยื่นอุทธรณ์ต่ออัยการสูงสุด

มาวันนี้อัยการสูงสุดสั่งฟ้องคดี เข้าสู่การพิจารณาของศาล

รอดูกันว่าความจริงจะปรากฏออกมาอย่างไร

ชัยวัฒน์-บิลลี่

อสส.ฟ้องชัยวัฒน์คดีฆ่า

วันที่ 15 สิงหาคม นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อัยการสูงสุด (อสส.) เปิดเผยว่า มีคำสั่งชี้ขาดความเห็นเเย้งให้ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 คน ฐานร่วมกันฆ่านายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยไตร่ตรองไว้ก่อน

โดยหลังจากนี้สำนวนถูกส่งให้นายพรชัย ชลวาณิชกุล อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ จากนั้นจะจ่ายสำนวนไปให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เพื่อออกหมายนัดนายชัยวัฒน์กับพวกมายื่นฟ้องต่อศาลต่อไป

สำหรับคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องนั้น ประกอบด้วยนายชัยวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 1 นายบุญแทน บุษราคำ ผู้ต้องหาที่ 2 นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ ผู้ต้องหาที่ 3 และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้

ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขัง หรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย

และร่วมกันโดยทุจริตหรืออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

ซึ่งก่อนหน้านี้อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 มีคำสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์และพวกในคดีฆาตกรรม ตามสำนวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เนื่องจากเห็นว่าไม่มีประจักษ์พยาน และพยานแวดล้อมใดๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ร่วมกันกระทำผิด มีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง

แต่ยังให้ฟ้องในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฐานสนับสนุนให้กระทำความผิด

ต่อมาอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีความเห็นแย้ง และส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณา และชี้ขาดให้สั่งฟ้องฐานร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ขณะที่นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ระบุว่าเป็นคนละส่วนกับคำสั่งให้นายชัยวัฒน์กลับเข้ารับราชการ เพราะกรณีดังกล่าวเป็นคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ซึ่งจะประชุม อ.ก.พ.กระทรวงจัดสรรตำแหน่งข้าราชการระดับ 9 ให้เหมือนเดิม

แม้จะตกเป็นจำเลยในคดีฆาตกรรมก็ตาม!!!

เจอถังฆ่าเผา

ย้อนนาทีบิลลี่หายปริศนา

สําหรับบิลลี่ หรือพอละจี รักจงเจริญ เป็นชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก อบต.ห้วยแม่เพรียง และเคลื่อนไหวต่อสู้จากกรณีที่ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ บุกไล่ที่ เผาบ้าน เผายุ้งข้าวเมื่อปี 2554 จนคดีเริ่มจะเข้าสู่ศาล

ต่อมาในวันที่ 17 เมษายน 2557 บิลลี่ขี่จักรยานยนต์สีเหลืองดำ ทะเบียน ขพง 998 ออกจากบ้านมุ่งหน้าไปที่ตัวอำเภอแก่งกระจาน เพื่อเตรียมข้อมูลยื่นถวายฎีกาเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้าน ที่ได้รับผลกระทบจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่ผลักดันให้ออกจากป่า

ระหว่างทางที่บ้านหนองมะเรว ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี บิลลี่ถูกเรียกตรวจโดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ และพบน้ำผึ้งป่า จึงควบคุมตัวไว้ พร้อมวิทยุแจ้งให้นายชัยวัฒน์รับทราบ และเดินทางมาสอบสวนบิลลี่ด้วยตัวเอง

ต่อมาวันที่ 18 เมษายน 2557 คนในครอบครัวบิลลี่ ร้องเรียนว่าบิลลี่หายไป พร้อมแจ้งความที่ สภ.แก่งกระจาน

ขณะที่นายชัยวัฒน์ระบุว่า เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ตนกลับจากภารกิจที่เขาพะเนินทุ่ง มาถึงจุดตรวจด่านสามยอด ได้รับแจ้งทางวิทยุว่าควบคุมตัวชาวบ้านบางกลอย มีน้ำผึ้งป่าที่เป็นสิ่งหวงห้ามซ่อนอยู่ เมื่อไปถึงพบนายบิลลี่ ขณะนั้นฝนตก จึงให้เจ้าหน้าที่นำบิลลี่และจักรยานยนต์พร้อมของกลางขึ้นรถของตน ขับไปที่อุทยานฯ

ระหว่างทาง นายบิลลี่ขอร้องให้ปล่อยตัว อ้างว่าซื้อน้ำผึ้งป่ามาจากชาวบ้านแค่ 5 ขวด เป็นความผิดเล็กน้อย แต่ตนไม่เชื่อเพราะบิลลี่มีกระเป๋าใบใหญ่ คาดว่ามีน้ำผึ้งอีกจำนวนมาก ขณะนั้นรถมาถึงบ้านมะค่า ห่างจากด่านมะเรว 9 ก.ม. จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่จอดรถ และลงมาค้นสัมภาระอีกรอบ เมื่อไม่พบน้ำผึ้งอีก จึงว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไปพร้อมจักรยานยนต์ จากนั้นกลับไปที่ไร่ราชพฤกษ์เตรียมจัดงานสงกรานต์ย้อนหลัง

เริ่มต้นด้วยคดีคนหายซึ่งหาทางออกไม่ได้

ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน 2561 ดีเอสไอมีมติรับเป็นคดีพิเศษ จากคำร้องของนางพิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของบิลลี่ จากนั้นก็สืบสวนด้วยการใช้โดรนสำรวจทางอากาศ และหุ่นยนต์สำรวจใต้น้ำ เพื่อค้นหาวัตถุพยาน

ในที่สุดเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2562 ก็พบหลักฐานสำคัญคือ ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน ในสภาพเจาะรู มีลักษณะผุดำ ไหม้เป็นบางส่วน

นอกจากนี้ ยังพบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้นภายใน และเศษกระดูกมนุษย์ภายนอกอีกหลายชิ้น

เป็นจุดเริ่มต้นของคดีฆาตกรรม

ใต้สะพานแขวน

สำนวนแน่นย้ำชัดฆาตกรรม

จากการตรวจสอบโดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์ พบว่าเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อน หรือถูกเผาด้วยความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส

ตรวจพบสารพันธุกรรมตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ แม่นายพอละจี ด้วยวิธีไมโตรคอนเดีย ตรวจสอบสารพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก ยืนยันได้ว่ากะโหลกศีรษะที่พบเป็นของนายพอละจี และเสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรม

สำหรับถังน้ำมันที่ใช้บรรจุกะโหลกศีรษะ ดีเอสไอส่งให้ศูนย์พิสูจน์หลักฐานภาค 7 ตรวจหาร่องรอยการผ่านความร้อนและการผุกร่อน

สรุปได้ว่าศพถูกนำมาเผาทำลายอำพรางคดี โดยเฉพาะเหล็กเส้น 2 เส้นจากเสาตอม่อ และพฤติการณ์ครั้งนี้เข้าข่ายลักษณะเป็นการฆาตกรรมโดยทรมาน และการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ

หลังจากข้อมูลถูกเปิดเผยก็มีภาพจากนักท่องเที่ยวที่โพสต์ไว้ช่วงเดือนกันยายน 2559 ในจุดสะพานแขวนดังกล่าว ซึ่งในปีนั้นมีสภาพน้ำแห้ง ก็พบเห็นถังดังกล่าวชัดเจน จึงได้สอบปากคำเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อย

นอกจากนี้ จากการสอบสวนพบแล้วถึงจุดที่คนร้ายนำจักรยานยนต์ของบิลลี่ไปทำลาย และจุดฆ่าเผาเรียบร้อย สามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้งหมด

รวมทั้งสืบสวนของ บช.ภาค 7 เมื่อ 5 ปีก่อนในคดีคนหาย ซึ่งสรุปในสำนวนว่าไม่พบการปล่อยตัวบิลลี่จากการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจาน

โดยเช็กจากกล้องวงจรปิด 4 จุด ประกอบด้วย จุดที่ 1 จุดพุไทร 2.จุดคุ้มนางพญา 3.จุดร้านสมร และ 4.จุดหนองปืนแตก ซึ่งเป็นจุดทางกลับไปไร่ชัยราชพฤกษ์ ของนายชัยวัฒน์

นอกจากนี้ จากการจำลองเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นตามคำให้การของพยาน ก็พบความขัดแย้งทั้งเรื่องช่วงเวลา และจุดที่อ้างว่าปล่อยตัวบิลลี่

ทั้งหมดล้วนอยู่ในสำนวนคดีฆาตกรรมที่อัยการสูงสุดเพิ่งสั่งฟ้อง

และคงต้องรอฟังผลการตัดสินคดี ว่าจะมีคำพิพากษาออกมาในทิศทางใด