สวนดุสิตโพลเผย ปชช.ค่อนข้างกังวล “ปลดล็อกกัญชา” กว่าครึ่งมองมีผลเสียมากกว่าดี

สวนดุสิตโพลเผย ปชช.ค่อนข้างกังวลเรื่องปลดล็อกกัญชา และกว่าครึ่งมองว่ามีผลเสียมากกว่าผลดี

 

วันที่ 26 มิถุนายน นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยว่า   สวนดุสิตโพล ได้สํารวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จํานวน 2,390 คน (สํารวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 20-23 มิถุนายน 2565 พบว่า หลังจากมีการปลดล็อกกัญชาตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ประชาชนรู้สึกค่อนข้างวิตกกังวล ร้อยละ 37.78 รองลงมาคือ วิตกกังวลมาก ร้อยละ 32.85 โดยมองว่าการปลดล็อกกัญชามีผลเสียมากกว่าร้อยละ 52.76 มองว่ามีผลดีและผลเสียพอ ๆ กัน ร้อยละ 30.17

ผลดี คือ เป็นการใช้ประโยชน์ในการรักษาทางการแพทย์ ร้อยละ 74.96 สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 46.46 ส่วนความกังวล คือ ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ที่เหมาะสม ร้อยละ 84.58 เด็กและเยาวชนเข้าถึงได้ง่าย อยากรู้อยากลอง ร้อยละ 82.16 สิ่งที่ควรดําเนินการ ณ วันนี้ คือ จํากัดการใช้ โดยเฉพาะเยาวชน สถานศึกษาควรเป็นแหล่งปลอดกัญชา ร้อยละ 88.38 มีมาตรการเฝ้าระวัง ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการใช้ ในอาหาร ร้อยละ 82.26 ทั้งนี้ประชาชนคิดว่าการปลดล็อกกัญชาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองแน่นอน ร้อยละ 60.54

จากผลโพลประชาชนมีความกังวลใจต่อการปลดล็อกกัญชาและมองว่ามีผลเสียมากกว่าถึงแม้จะเป็นประโยชน์ทาง การแพทย์หรือช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในช่วงเดือนแรกของการปลดล็อกกัญชาจึงเห็น “สีสันของกัญชา” ในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้น แต่ผลที่ตามมากลับไม่เป็นตามคาด การตลาดเกี่ยวกับกัญชามีสะดุดเพราะความไม่พร้อมของแนวทางมาตรการรองรับ กอปรกับข่าวรายวันจึงทําให้หลายฝ่ายกังวลต่อผลเชิงลบมากกว่า ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่หลายฝ่ายจะมองว่าการปลดล็อกกัญชา ครั้งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของการหาเสียงหรือหวังผลทางการเมือง

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ณัฐพร บู๊ฮวด อาจารย์ประจําหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสําอาง คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ.2565 ได้มีผลบังคับใช้ ทําให้สารสกัดจากพืชกัญชาไม่ผิดกฎหมาย ส่งผลให้สามารถนําส่วนต่าง ๆ ของพืชกัญชา มาพัฒนาและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสําอาง สมุนไพร และการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ รวมทั้งยังมีการ นํามาใช้ทางด้านสันทนาการ โดยมีกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงอันตรายเนื่องจากไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ขาดคนดูแล จะเข้าสู่วงจรยาเสพติดได้ง่าย ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมอง

มาตรการเร่งด่วนที่ต้องทําคือ การจํากัดการเข้าถึง ของเด็ก เยาวชน สถานศึกษารวมถึงพื้นที่โดยรอบ ต้องเป็นเขตปลอดกัญชา ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือจะทําเพื่อ CSR ต้องให้ความรู้อย่างครบถ้วนด้วยภาษาและสื่อที่เหมาะสมกับคนแต่ละกลุ่ม ต้องมีการทุ่มเทจริงจังที่จะเสริมสร้างพื้นฐานการรับรู้ด้วยสติสัมปชัญญะของผู้คนอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยมาตรฐานสินค้าและบริการที่ใช้ได้จริงไม่ยุ่งยาก ตอบสนองกับความท้าทายในการใช้กัญชาและนําไปสู่การเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ทรงคุณค่าทั้งด้านนวัตกรรมการผลิตและด้านอรรถประโยชน์ในการบริโภค

สรุปผลการสำรวจได้ดังนี้