ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 เมษายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ก่อสร้างและที่ดิน |
เผยแพร่ |
ก่อสร้างที่ดิน/นาย ต.
LPN ขยายทุกช่องทางรายได้
มั่นใจ 3 ปีกลับมาแกร่ง
แอลพีเอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นบริษัทอสังหาฯ แถวหน้าอีกรายหนึ่งที่น่าสนใจติดตามการปรับตัวในวิกฤตใหญ่ครั้งนี้
เพราะแอลพีเอ็นฯ เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่บุกเบิกคอนโดมิเนียมที่อยู่อาศัยที่คนชั้นกลางสามารถซื้อหาเป็นเจ้าของได้โดยไม่ต้องออกไปอยู่ชานเมืองหรือเช่าอพาร์ตเมนต์ในเมือง
จุดเด่นของแอลพีเอ็นฯ คือการบริหารงานก่อสร้างได้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ หลายอย่างเป็นต้นแบบให้ผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการอื่นๆ นำไปเป็นแบบอย่างจนทุกวันนี้
นอกจากนี้ ระบบการบริหารนิติบุคคลคอนโดมิเนียมของแอลพีเอ็นฯ ก็ขึ้นชื่อว่าดีมาก มีผลต่อการขายโครงการต่อๆ ไปของบริษัท
จนเป็นอีกหนึ่งแบบอย่าง และให้บริการกับคอนโดฯ เจ้าอื่นๆ ด้วย
ในระยะหลังๆ แอลพีเอ็นฯ พยายามเปิดโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคาสูงขึ้น และมีการสร้างทีมทำโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมขึ้นมา
เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 และวิกฤตเศรษฐกิจ แอลพีเอ็นฯ จะปรับตัวอย่างไร
ในปี 2564 แอลพีเอ็นฯ ตั้งเป้ารักษาการเติบโตใกล้เคียงกับปี 2563 มียอดรับรู้รายได้ 7,362 ล้านบาท โดยมีรายได้จากคอนโดมิเนียม 70% จากโครงการแนวราบ 30% และรายได้จากธุรกิจบริการธุรกิจให้เช่า 20%
มีเป้ายอดขายใหม่ (presale) ประมาณ 10,000 ล้านบาท จากการเปิดโครงการแนวราบ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮาส์ 6 โครงการมูลค่า 5,500 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวตลาดพรีเมียมแบรนด์ “บ้าน 365” ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป 1-2 โครงการในย่านใจกลางเมืองภายใต้แนวคิด “private Resident”
โครงการแนวราบในชื่อแบรนด์ “บ้านลุมพินี ทาวน์เพลส” และ “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์” ที่ระดับราคาไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อหน่วย ประมาณ 3-5 โครงการ เป็นทาวน์เฮาส์หน้ากว้าง จอดรถได้ 3 คัน
สำหรับโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทมีที่ดินสำหรับทำโครงการที่ซื้อไว้แล้ว 6-8 แปลง สามารถนำมาทำโครงการได้เลย
และยังมีสินค้าคงเหลือพร้อมขายประมาณ 11,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการสร้างรายได้อื่นนอกเหนือจากที่อยู่อาศัยเพื่อขาย โดยการนำห้องชุดสร้างเสร็จเหลือขายมาสร้างรายได้จากการเช่า
การขยายธุรกิจบริการไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ของบริษัทในเครือบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัท แอลพีซี วิสาหกิจ เพื่อสังคม จำกัด (LPC) บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) และบริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS)
โดยตั้งเป้ารายได้ในส่วนของงานบริการเติบโตไม่น้อยกว่า 20% ในปี 2564 เทียบกับปี 2563 ที่มีรายได้จากงานบริการและธุรกิจให้เช่าที่ 1,361 ล้านบาท
แอลพีเอ็นฯ วางยุทธศาสตร์แผน 3 ปี
ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเติบโตรายได้และความสามารถทำกำไรอย่างยั่งยืน ผ่านการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ การใช้ข้อมูลวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าเพื่อพัฒนาบ้านและอาคารชุดให้มีฟังก์ชั่นตอบโจทย์ทุกความต้องการในระดับราคาที่เหมาะสม (affordable price) ภายใต้แนวคิด “ความพอดีที่ดีกว่า : The better Balance”
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2564-2567 บริษัทได้วางยุทธศาสตร์แผน 3 ปี ให้เป็นปีของการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรที่มีอัตราการเติบโตในด้านของรายได้ และความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ผ่านการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ การใช้ข้อมูล (Big Data) วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า (Customer Insight) เพื่อการพัฒนาทั้งบ้านพักอาศัยและอาคารชุดพักอาศัย ให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในทุกมิติในระดับราคาที่เหมาะสม (Affordable Price) สำหรับผู้ซื้อในทุกกลุ่มภายใต้แนวคิด “ความพอดีที่ดีกว่า : The Better Balance”
โปรดักต์ของแอลพีเอ็นฯ จะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง โอกาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บอกว่า
“เราจะเพิ่ม Emotion เข้าไปหน่อย เติม Benefit เข้าไปอีก เพราะเมื่อก่อนหลายคนบอก LPN ที่ไหนก็เหมือนกัน ดูเยอะแยะไปหมด ดูแล้วมันมีความรู้สึกเหมือนไม่เท่ แต่ที่ผ่านมาเราเน้นเรื่องต้นทุนทำราคาให้คนส่วนใหญ่จับต้องได้ คุ้มค่าที่สุด แต่ต่อไปเราต้องสร้างให้ลูกค้ามีความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ แต่ก็ไม่ได้ใส่อะไรมากเกินไป ยังเป็นความพอดี”
ด้านการบริหาร จะมีการปรับโครงสร้างองค์กร (Reorganization) จากโครงสร้างการทำงานตามหน้าที่ (Functional Organization) สู่การบริหารงานในรูปแบบของหน่วยธุรกิจ (Business Unit)
รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิตอลในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Digital Transform) เพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัวในการตัดสินใจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการดำเนินงาน
โอกาส ศรีพยัคฆ์ เชื่อมั่นว่า หลังจากวิกฤตโควิด-19 คลี่คลายลงแผน 3 ปีนี้จะพอดีกัน ภายใน 3 ปีบริษัทจะกลับมามีรายได้ในจุดที่เราควรเป็นได้ เป้าหมายไม่น้อยกว่า 16,000 ล้านบาทในปี 2567 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปี 2558