อนุสรณ์ ติปยานนท์ : สมดุลแห่งรสชาติ

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (66)

อุทยานรส (12)

เหมือนดังกาลเวลาหยุดนิ่ง ชินจิ นากามูระ และผู้คนอีกเจ็ดคนนั่งนิ่งอยู่กับที่ ในท่ามกลางความเงียบนั้น บานหน้าต่างทุกบานในบ้านถูกเปิดอย่างช้าๆ โดยมือที่มองไม่เห็น

เสียงบานหน้าต่างแยกตัวออกจากที่ทางของมัน แสงจันทร์จากภายนอกลอดผ่านเข้ามา เป็นแสงนวลละมุนละไมจนรู้สึกได้ ห้องทั้งห้องงดงามและอบอุ่นขึ้นอย่างฉับพลัน

ชายชราผู้นั้นยื่นมือของเขาไปแตะต้องแสงจันทร์ที่ตกลงบนโต๊ะอาหาร เขาสัมผัสมันราวกับแสงจันทร์นั้นมีตัวตนที่รู้สึกได้ ชินจิ นากามูระ ไม่เคยเห็นใครที่สัมผัสแสงจันทร์เช่นนี้มาก่อน

ชายชราพลิกมือของเขาไปมาอย่างช้าๆ ราวกับปลาที่ว่ายน้ำอยู่ในสายน้ำ

เป็นสายน้ำที่เกิดจากแสงจันทร์

“ผู้คนจำนวนมากคิดว่าอาหารคือของสิ่งหนึ่ง เป็นของที่กินได้ เป็นของที่รับประทานได้ เป็นของที่ทำให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย เป็นของที่ให้พลังงาน กำจัดความหิวโหย นั่นคือสิ่งที่ประจักษ์ด้วยตาเห็น”

“ทว่าอาหารมีมิติอื่นอีก อาหารมีมิติอันลี้ลับอื่นอีกมากมาย ผู้คนรู้ว่ารสในอาหารประกอบไปด้วยรสเปรี้ยว รสหวาน รสเค็ม และรสขม แต่รสชาติเล่า?”

“รสชาติคือสิ่งใด รสชาติของอาหารคือสิ่งใด หากรสของอาหารมีเพียงเท่านั้น เพราะเหตุใดเราจึงจดจำอาหารบางมื้อได้แม้ว่าจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว หากรสของอาหารมีเพียงเท่านั้น เพราะเหตุใดบางมื้ออาหารจึงถูกเราลืมเลือน ผู้คนจำนวนมากไม่รู้ว่าที่เขาจดจำอาหารมื้อใดได้นั้น พวกเขาไม่ได้จำรสของอาหาร หากแต่จดจำในรสชาติของอาหารต่างหาก”

“แต่รสชาติคือสิ่งใด รสชาติคือทุกสิ่งที่อยู่ในอาหาร ทั้งสิ่งที่สัมผัสได้และสิ่งที่สัมผัสไม่ได้ บรรยากาศในขณะที่ท่านทานอาหารมื้อนั้นเป็นเช่นไร ท่านจดจำสิ่งนั้น คู่สนทนาในระหว่างมื้ออาหาร ท่านจดจำบุคคลเหล่านั้น ความรู้สึกที่ท่านได้รับจากอาหาร ท่านจดจำในความรู้สึกนั้น รสคือสิ่งสำคัญแต่รสนั้นเป็นเพียงส่วนประกอบของรสชาติเท่านั้นเอง”

หญิงสาวสวยหัวเราะเบาๆ “การได้ฟังปรัชญาลึกซึ้งจากท่าน จากนักบุญแห่งรสชาติถือว่าเป็นสิ่งที่พิเศษสุดสำหรับข้าพเจ้าจริงๆ การได้ร่วมโต๊ะกับท่านในคืนนี้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าจะไม่มีทางลืมเลือน มื้ออาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้าจะจดจำไปตลอดกาลชั่วชีวิตเป็นแน่”

ชินจิ นากามูระ ได้ล่วงรู้แล้วว่าบุคคลเหล่านี้ล้วนรู้จักซึ่งกันและกัน ชายชราผู้นี้มีนามว่า-นักบุญแห่งรสชาติ หญิงที่ไม่มีตัวตนให้มองเห็นมีนามว่า-ท่านป้าเงา ผู้คนเหล่านี้แม้ไม่มีชื่อจริงหากแต่มีสมญานาม พวกเขาที่เหลือแม้จะยังไม่ได้ประกาศชื่อออกมาแต่พวกเขามีสมญานามส่วนตัวอย่างแน่นอน

“เสียดายที่คนที่เหลือมาไม่ทันได้เห็นท่านดื่มด่ำกับแสงจันทร์ ภาพเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะปรากฏแก่คนทั่วไป มีคำกล่าวว่าตามหาเพชรนิลจินดายังยากเย็นเสียกว่าได้พบกับนักบุญแห่งรสชาติ คำกล่าวนี้ไม่เกินเลยไปเลย”

ชายชรากล่าวว่า “ที่เหลือนั้นล้วนใกล้มาแล้ว อีกสองคนก็อยู่ที่นี่แล้ว”

ไม่ทันขาดคำ ชายสองคนเดินผ่านประตูเข้ามา พวกเขาเข้ามาอย่างเงียบเชียบราวกับแสงจันทร์ที่ลอดผ่านบานหน้าต่างมา ชินจิ นากามูระ ไม่ได้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวใดๆ เลย

ชายสองคนก็นั่งลงข้างเขาแล้ว

ชายทั้งสองคนนั้นสวมเสื้อผ้าสีครามคล้ายดังพวกชาวนา ชุดของพวกเขาเก่าซีดจางทว่ามันกลับแลดูสะอาดหมดจดอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีรอยปะชุนตามจุดต่างๆ แต่ในจุดที่ถูกปะชุนนั้นก็ยังแสดงถึงฝีมือและร่องรอยการเย็บปะที่ตั้งใจ ผิวกายของพวกเขาขาวสะอาดราวกับคนที่ไม่เคยต้องแสงแดดและงานหนัก ดังนั้น แม้ว่าจะอยู่ในชุดเยี่ยงชาวนา พวกเขากลับมีทีท่าภาคภูมิราวกับขุนนางในยุคโบราณ

ทว่าสิ่งที่น่าสนใจในพวกเขาคือความเหมือนและคล้ายคลึงของคนทั้งคู่ พวกเขารูปร่างเท่ากัน มีใบหน้าแบบเดียวกัน แม้ตำหนิบนร่างกายก็เหมือนกัน ที่หลังมือข้างขวาของคนทั้งคู่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่คล้ายดังร่องรอยของการถูกของร้อนทำร้ายอย่างหนักหน่วง การที่คนทั้งคู่มีลักษณะคล้ายกันเช่นนี้ย่อมถือว่าพวกเขาเป็นฝาแฝดได้

กระนั้น ชินจิ นากามูระ กลับไม่อาจเรียกพวกเขาว่าฝาแฝด เพราะคนที่เป็นฝาแฝดนั้นจะมากหรือน้อยย่อมมีบางส่วนที่แตกต่างกัน บางคนถนัดขวา บางคนถนัดซ้าย

แต่คนทั้งคู่กลับแลดูเป็นส่วนประกอบของกันและกันอย่างกลมกลืน คล้ายดังวงกลมขาวในส่วนดำและวงกลมดำในส่วนขาวในสัญลักษณ์ของนิกายเต๋า ความผสมกลมกลืนนั้น

ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่คนหนึ่งหายใจออก อีกคนจะหายใจเข้า และเมื่อคนหนึ่งหายใจเข้า อีกคนจะหายใจออก เหมือนกับพวกเขารับส่งพลังงานกันตลอดเวลา ถ่ายเทพลังงานให้กันตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดสูญเปล่าระหว่างพวกเขา

สิ่งที่ถูกใช้ทิ้งแล้วสำหรับคนหนึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ของอีกคน

คนทั้งสองเปรียบดังข้างขึ้นข้างแรมของแต่ละฝ่าย เป็นเอกภาพในความแตกต่าง และเป็นความแตกต่างที่กลมกลืนกันอย่างมีเอกภาพ

คนทั้งสองล้วงมือไปในย่ามที่นำติดตัวมา ชายคนแรกหยิบเตาถ่านขนาดเล็กวางลงบนโต๊ะ ชายอีกคนหยิบป้านน้ำชาออกมา กระติกน้ำที่ทำจากไม้ไผ่ ใบชาที่อยู่ในถ้ำชากระเบื้อง จอกชา ที่คนชาที่ทำจากไม้ไผ่เหลาเป็นซีก ที่ตักน้ำชาก้านยาวซึ่งทำจากไม้ไผ่อีกเช่นกัน

ไม่น่าเชื่อว่าภายในย่ามใบเล็กที่พวกเขาทั้งสองนำติดตัวมาจะสามารถบรรจุสิ่งของได้มากมายขนาดนี้ พวกเขาล้วงเอาสิ่งต่างๆ ออกมาอย่างไม่จบสิ้น

ก่อนที่อุปกรณ์ชงชาทั้งหมดจะถูกวางลงบนโต๊ะ

ชายคนหนึ่งจุดไฟ เขาใช้ถ่านไร้ควันเป็นเชื้อเพลิง ในขณะที่ชายอีกคนกรองน้ำจากกระติกใส่จอกชา เขาจิบน้ำเปล่านั้นรอบแล้วรอบเล่า

ชินจิ นากามูระ รู้ดีว่านี่เป็นพิธีชงชาแบบโบราณดั้งเดิมมาก เป็นพิธีกรรมแบบญี่ปุ่นที่ทำให้ลิ้นอยู่ในสภาพที่ไร้รสและเป็นกลางมากที่สุด

บุคคลอื่นบนโต๊ะอาหารนั่งสงบเงียบราวกับการเข้าร่วมพิธีกรรมสำคัญ ไม่มีเสียงสนทนาใดๆ มีแต่เพียงเสียงเคลื่อนไหวของร่างกายและสิ่งของ จังหวะมือของชายทั้งสองดูงดงามราวกับการร่ายรำแบบหนึ่ง

ชินจิ นากามูระ ไม่ได้เห็นการชงชาแบบนี้มาก่อนเลย มันเป็นดังการเต้นรำอย่างสอดประสานระหว่างสิ่งที่ถูกปรุงอย่างชาและกระบวนการการปรุงเยี่ยงพิธีชงชา

ราวครึ่งชั่วโมง ชาจอกแรกจากการชงถูกส่งไปที่หัวโต๊ะ หญิงสาวผู้มีเส้นผมยาวสลวยรับชาจอกนั้น เธอหมุนจอกชาอย่างช้าๆ ก่อนจะจิบชา หลับตาแล้วยื่นชาจอกนั้นคืน ชายคนหนึ่งจุ่มจอกชาลงในอ่างให้จอกชากลับสู่อุณหภูมิปกติก่อนจะเทชาใส่จอกและส่งต่อให้ชายชรา

กระบวนการดังกล่าวดำเนินไปแบบนั้นจนในที่สุดจอกชาก็ถูกยื่นมาให้ผู้ที่นั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะอันได้แก่ ชินจิ นากามูระ นั่นเอง

ชินจิ นากามูระ จิบชานั้นอย่างช้า ความร้อนที่พอเหมาะทำให้ชาแทบมลายหายไปในลำคอของเขา มีกลิ่นหอมในระยะไกลของดอกไม้ป่า ของทุ่งหญ้าที่เขียวชอุ่ม ของฝนตกที่ใหม่หมาดลงบนพื้นดิน ของดอกเบญจมาศที่เบ่งบาน ของหิมะที่กำลังละลาย ของน้ำตาของคนรักที่เขาเคยมี ของหัวใจของผู้จากไปในสงคราม

ชินจิ นากามูระ สัมผัสได้ถึงกลิ่นจำนวนมากที่เขาไม่เคยสัมผัส ชินจิ นากามูระ รู้สึกได้ถึงโลกที่ไม่เคยเผยตัวต่อเขามาก่อนเลยซึ่งบัดนี้มันกำลังเบ่งบานอย่างเงียบๆ ในตัวเขาผ่านทางชาจอกเล็กๆ จอกนั้น

ชายชราผู้มีสมญานามว่า-นักบุญแห่งรสชาติ-เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้พบกันนาน สมดุลแห่งรสจากชายไผ่แฝดยังคงไม่แปรเปลี่ยน เป็นเรื่องที่น่ายินดีๆ ที่พวกท่านยอมมาในวันนี้”

“ความร้อน บรรยากาศ เวลา ล้วนมาอยู่ที่นี่ ดุลยภาพเยี่ยงพวกข้าพเจ้าจะไม่มาร่วมได้อย่างไร น่าเสียดายที่ว่าในงานเลี้ยงหลายงาน พวกเขาไม่เคยเชื้อเชิญพวกข้าพเจ้าเลย พวกเขาหลงลืมพวกข้าพเจ้า สมดุลเป็นสิ่งที่ถูกลืมเสมอ มันเป็นส่วนหนึ่งแห่งรสชาติที่ถูกละเลยได้ง่ายดาย สมดุลเป็นสิ่งถูกหลงลืมเสมอมา”