ในประเทศ / HUNGRY GAME

ในประเทศ

 

HUNGRY GAME

 

ขณะที่ชาวบ้านทั่วไปกำลังต่อสู้กับความหิว

หิวจากวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ปรากฏว่า ในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็กำลังต่อสู้กับความหิวเช่นกัน

แต่ไม่ใช่ความหิวของปากท้อง

หากเป็นความหิวในอำนาจ

มีการช่วงชิง หรือเล่น HUNGRY GAME–เกมหิว (อำนาจ) อย่างเข้มข้น

 

HUNGRY GAME นี้ ว่ากันว่า ใช้จังหวะที่แกนนำ พปชร.ทำการบวงสรวงที่ทำการพรรค พปชร.ใหม่

ซึ่งย้ายจากถนนรัชดาภิเษก แยกประชานุกูล ประชาชื่น กทม. ไปยังที่ทำการพรรคใหม่ อาคารรัชดาวัน ONE ตรงข้ามศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก

อันเป็นอาคารของ “ตระกูลพร้อมพัฒน์” เมื่อ 23 เมษายนที่ผ่านมา เป็นฤกษ์เปิดเกม

เมื่อกล่าวถึงตระกูล “พร้อมพัฒน์”

ทุกคนย่อมนึกถึง นายสันติ พร้อมพัฒน์

ใช่เลย เขาป็นเจ้าของตึกนี้

และที่ผ่านมา แม้นายสันติในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง ที่ดูเหมือนเข้าข่าย “รัฐมนตรีโลกลืม”

แต่ตรงกันข้าม นายสันติกลับมีบทบาทในพรรคมากขึ้นเรื่อยๆ

การที่ให้พรรค พปชร.มาทำการในตึกของตัวเอง

ก็คงไม่ต้องอธิบายว่าเขามีอิทธิพลขนาดไหน

นอกจากนี้ยังช่วยดูแล ส.ส.ในพรรคอีกไม่น้อย

บทบาทของนายสันติจึงไม่ธรรมดา

 

และว่ากันว่า ในระยะหลัง ถูกจัดเป็น “ก๊วนบ้านป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร.

เป็น “แกนนำ พปชร.” ที่เข้า-ออก “บ้านบิ๊กป้อม”

ได้เหมือนกับ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ประธาน ส.ส.พรรค พปชร.

ได้เหมือนกับ วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประธานวิปรัฐบาล

ได้เหมือน “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท ที่เคยอกหักจากเก้าอี้รัฐมนตรี แต่ได้รับการดูแลอย่างดีจาก “บิ๊กป้อม”

โดยทั้ง “สุชาติ-วิรัช-อนุชา” ถือเป็นแกนนำที่ให้คำปรึกษา และนำเสนอข้อมูลทั้งเชิงตื้น เชิงลึก แก่ “บิ๊กป้อม” จึงมีบทบาทในพรรคสูง

และพยายามที่จะใช้ความสนิทสนมดังกล่าว เป็นบันไดก้าวสู่การนั่งเก้าอี้ฝ่ายบริหารอยู่ตลอดมา

 

ทั้งนี้ “ก้าวย่าง” ที่ขั้วอำนาจฝ่ายนี้เคลื่อนไหววางไว้ ก็คือ การยึดการนำในพรรค พปชร.ให้ได้ก่อน

นั่นคือ การเปลี่ยนตัวนายอุตตม สาวยายน หัวหน้าพรรค และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรรค ซึ่งถือเป็น 2 ใน “4 กุมาร” เด็กในคาถาของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี

โดยอีก 2 คนคือ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รองหัวหน้าพรรค พปชร. และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง

จุดอ่อนสำคัญของ “4 กุมาร” คือไม่มี “ส.ส.” อยู่ในมือ ทำให้มีจุดอ่อนที่สามารถกำจัดได้ง่ายที่สุด

ซึ่งปฏิบัติการครั้งนี้ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการปล่อยไลน์ของ ส.ส.ภาคกลางหลุด

โดยเนื้อหาในไลน์ได้โจมตีการแก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 ของแกนนำพรรค ว่า ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ทันการณ์

ทั้งนี้ น่าสังเกตว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ประธาน ส.ส.พรรค ได้เข้าไปเปิดประเด็นเองว่า หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคไม่มีการขยับเขยื้อนอะไร

พร้อมกับประกาศว่า “จะหาวิธีช่วยเหลือเพื่อนๆ พี่ๆ ส.ส.ด้วยตัวเอง”

หนึ่งในวิธีที่นายสุชาติเสนอคือ

“รัฐมนตรีในพรรคควรเข้ามาช่วยกันดูแลพวกเราบ้าง จะเป็นแอลกอฮอล์ หน้ากาก หาไม่ได้ก็เอาปัจจัยมาให้ต่อคน”

 

ทั้งนี้ นายสุชาติขยายความเพิ่มในเวลาต่อมาว่า

ไลน์กลุ่ม ส.ส.ภาคกลางที่มีประมาณ 20 กว่าคนนั้น เกิดขึ้นในวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดหนัก

“มี ส.ส.ภาคกลางหลายคนระบายปัญหาต่างๆ ผ่านไลน์กลุ่ม เมื่อได้อ่านจึงเข้าไปตอบไลน์ในฐานะประธาน ส.ส.ว่า หากไม่มีใครช่วย เดี๋ยวผมจะช่วยพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนเอง วันนั้นมันเป็นเรื่องของความเป็นลูกผู้ชาย ผมและ ส.ส.ภาคกลางนักเลงพอ ต้องมีความรับผิดชอบ เพราะเมื่อไม่มีใครช่วยพวกเรา ก็ต้องช่วยตัวเอง และหลังจากไลน์หลุดก็ได้พูดคุยกับนายสนธิรัตน์ ประมาณวันที่ 20 เมษายน ก็ได้สะท้อนปัญหาให้ฟัง การพูดคุยก็เป็นไปด้วยดี” นายสุชาติระบุ

แม้นายสุชาติจะบอกว่าพูดคุยกับนายสนธิรัตน์เป็นไปด้วยดี

แต่กระนั้น ก็มีข่าว “หลุด” ออกมาอีกว่า มีความพยายามของแกนนำในพรรค เดินเกมกดดันนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ให้ลาออก

เนื่องจากไม่สามารถยึดโยงกับ ส.ส.ได้ โดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิด-19 ไม่เคยสอบถาม หรือยื่นความช่วยเหลือใดๆ ให้ ส.ส.ลงพื้นที่ช่วยประชาชน

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการจัดประชุมใหญ่ของพลังประชารัฐที่ล่าช้าไปกว่า 3 เดือน กว่าจะได้ประชุมเพื่อปรับปรุงการทำงานของพรรค

ข่าวหลุดดังกล่าว ยังระบุว่า พล.อ.ประวิตรได้บอกนายอุตตมด้วยตัวเอง ขอให้พิจารณาลาออก

ซึ่งนายอุตตมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ

เพราะหากนายอุตตมลาออก กรรมการบริหารทั้งคณะต้องสิ้นสภาพไปด้วย และทางพรรคจะประชุมใหญ่เพื่อแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนต่อไปภายใน 60 วัน

แม้ขั้นตอนดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้น

แต่ก็ปรากฏชื่อผู้นำชุดใหม่ รอไว้แล้วคือ

พล.อ.ประวิตรจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค

นายสันติดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค

 

ยิ่งไปกว่านั้น ยังปรากฏโผการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ไว้รอรับด้วย

ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร ควบรองนายกฯ และรัฐมนตรีมหาดไทย

นายสันติ พร้อมพัฒน์ จะเป็นรัฐมนตรีคลังแทนนายอุตตม

โดยมีนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ซึ่งระยะหลังถูกระบุว่ามีความใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร จะโยกจากโฆษกรัฐบาลมาเป็นรัฐมนตรีช่วยคลัง

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตแกนนำกลุ่ม กปปส. ที่ถูกดึงมาเสริมทัพ ในขั้วอำนาจ พล.อ.ประวิตร จะได้รับโบนัส คือ ย้ายจากกระทรวงศึกษาธิการไปนั่งรัฐมนตรีพลังงาน แทนนายสนธิรัตน์

นายอนุชา นาคาศัย จะผงาดเป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการ

ขณะที่นายสุชาติ ชมกลิ่น จะไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แทนนายสุวิทย์ เมษินทรีย์

ถือเป็นการรุกใหญ่ ที่เปรียบเหมือนสลับขั้วใหม่ภายใน พปชร.เลยทีเดียว

ซึ่งนายสุชาติย้ำว่า การปรับคณะรัฐมนตรี อยู่ในอำนาจและดุลพินิจของ พล.อ.ประยุทธ์

“เมื่อปัจจัยและห้วงเวลามีความเหมาะสม นายกฯ คงต้องมีการปรับ ครม. เพราะหากไม่ปรับ ครม.เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม นายกฯ จะสามารถรับแรงเสียดทานทางการเมืองได้หรือไม่”

ถือเป็นการรุกทางการเมืองอย่างเปิดเผยและไม่สงวนท่าทีใดๆ

 

ด้านฝ่ายที่ถูกรุกอย่างนายอุตตม ได้ใช้ความพยายามนิ่งสยบการเคลื่อนไหว

โดยยกสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องดูแลสู้ภัยโควิด-19 มาเป็นเกราะกำบังอันสำคัญ

ด้วยการชี้ว่า ต้องดูแลเยียวยาประชาชนก่อน

“สมองไม่ได้เอาไว้คิดในเรื่องของการเมือง” นายอุตตมระบุ

แต่ก็ยอมรับว่า มีกรรมการบริหารบางคนได้โทร.มาเล่าให้ฟัง

ขอให้ลาออกจากหัวหน้าพรรค

“ผมพร้อมคุยในทุกเรื่อง แต่ว่าวันนี้ขอทำงานก่อน เพราะฉะนั้น จะยังอยู่”

คงไม่ต้องตีความคำพูดดังกล่าว

เพราะชัดเจนว่านายอุตตมคงไม่ลาออก

ด้านหนึ่ง อาจมั่นใจว่า เงินอัดฉีดผ่าน พ.ร.ก.เงินกู้ ร่วม 2 ล้านล้านบาท จะทำให้งานการเมืองของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น

ยิ่งหากกู้เศรษฐกิจได้หรือทำให้ชาวบ้านพอใจในการเยียวยา

กระแสสังคมก็จะ “อุ้มชู” และหันเหไปกดดันขั้วที่ต้องการเลื่อยขาเก้าอี้เสียเอง

นอกจากนี้ เงินฟื้นฟูหลังโควิด-19 อันมหาศาล ย่อมจะสามารถผลักโครงการต่างๆ มากมาย

ซึ่งนี่จะเป็นจุดแข็งแกร่ง ที่จะดึงเอา ส.ส.ในพรรค พปชร.แห่เข้าร่วมฝ่ายตนเอง แทนที่จะไปอยู่ขั้วตรงกันข้าม

 

ยิ่งกว่านั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้อำนาจอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์แบบเบ็ดเสร็จ เหนือการเมือง ซึ่งย่อมส่งผลลงมาถึงรัฐมนตรีด้วย

ซึ่งนายอุตตมและพวกก็คงมีกำลังใจอยู่พอสมควร

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 เมษายน ระหว่างการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธาน มีรองนายกฯ รัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

รวมถึง พล.อ.ประวิตรและนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้วย

จู่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้กล่าวถึงกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ออกมา

“ไม่มีการปรับ ครม.ใดๆ ทั้งสิ้น ผมคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินใจได้ ไม่ต้องต่อรอง ไม่ต้องเจรจา ผมเป็นนายกฯ ผมทำคนเดียว”

คำพูดดังกล่าวเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นชัดเจนว่า นายกฯ มีจุดยืนอย่างไร

และยืนอยู่ข้างไหน

 

ท่าทีนี้ดูจะผิดคาดจาก “ขั้ว” ที่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงอยู่ตามสมควร

โดยขั้วนี้เชื่อมั่นว่า สามารถที่จะเข้าถึง พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นอย่างดี

และพยายามที่จะกีดกันไม่ให้กลุ่มสามมิตร และกลุ่มนายอุตตม นายสนธิรัตน์ ที่มีความใกล้ชิดกับนายสมคิด มีบทบาท

แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ขานรับ

ทำให้มีกระแสข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตรได้สั่งให้ทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

เพื่อไม่ให้ขัดแย้งกับน้องรัก

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรจะไม่ขอรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค และจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคทุกตำแหน่ง รวมไปถึงการปรับคณะรัฐมนตรี โดยให้ทุกฝ่ายรอดูสถานการณ์ไปก่อน

เพราะไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

 

นี่จึงทำให้มีการประเมินกันว่า ศึกครั้งนี้คงยืดเยื้อออกไป

ไม่จบลงง่ายๆ

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่เอาด้วย

ขั้วที่เคลื่อนไหวก็เตรียมเดินหน้าต่อ

ด้วยการไปล็อบบี้ให้กรรมการบริหารพรรคลาออกกึ่งหนึ่ง

ซึ่งจะทำให้ทั้งนายอุตตมและนายสนธิรัตน์หลุดจากตำแหน่งไปโดยปริยาย

แล้วจากนั้นค่อยคืบเข้ายึดอำนาจในพรรคและก้าวไปสู่จุดสำคัญคือปรับคณะรัฐมนตรีในที่สุด

ซึ่งแน่นอน อีกขั้วก็คงสู้ยิบตา ไม่ยอมง่ายๆ

โดยใช้ความได้เปรียบที่กุมอำนาจอยู่ ตอบโต้

เรื่องนี้จึงคงไม่ยุติโดยเร็ว การต่อสู้ในพรรคจะดำรงอยู่

เพราะเรื่องของอำนาจ มันหอมหวน

    ยั่วให้หิว และเล่น HUNGRY GAME อย่างดุเดือดกันต่อไป