บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ / ความ ‘น่าอนาถ’ ของชาติตะวันตก ในการรับมือ ‘ไวรัสมรณะ’

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

ความ ‘น่าอนาถ’ ของชาติตะวันตก

ในการรับมือ ‘ไวรัสมรณะ’

 

เป็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สำหรับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะไม่คาดคิดว่าสหรัฐอเมริกา ประเทศมหาอำนาจแทบจะทุกด้านของโลกจะคว้าแชมป์ไม่พึงประสงค์อันดับ 1 ของโลก ในฐานะมีผู้ติดเชื้อมากที่สุดแซงจีนไปแล้วเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา

โดย ณ วันดังกล่าว สหรัฐมีผู้ติดเชื้อ 82,067 ราย จีน 81,285 ราย โดยมีอิตาลีอยู่อันดับ 3

ก่อนที่ในวันต่อมา อิตาลีจะแซงจีนขึ้นขึ้นมาอยู่อันดับ 2 รองจากสหรัฐ โดยที่จีนตกไปอยู่อันดับ 3 พอถึงวันที่ 30 มีนาคม จีนตกไปอยู่อันดับ 4 โดยมีสเปนแซงขึ้นมาที่ 3 ส่วนอันดับ 5 เป็นของเยอรมนี

หากนับเฉพาะ 5 ประเทศแรกที่มีผู้ติดเชื้อสูงที่สุด กลายเป็นว่า จีนเป็นเอเชียเพียงชาติเดียวที่ติดอันดับ ส่วนอีก 4 ประเทศล้วนอยู่ในตะวันตก

สภาพน่าเวทนา เพราะคนตายมากจนไม่มีที่ฝังหรือที่เก็บศพ ปรากฏให้เห็นทั้งในสเปน อิตาลี และแม้แต่นิวยอร์กของอเมริกา

 

ขณะเขียนต้นฉบับอยู่นี้ สหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อเกือบจะ 2 แสนคนแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ต่อวันสูงมากในระดับหมื่นคน อัตราเสียชีวิตต่อวันทะลุหลักร้อยมาตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม หากเทียบกับจีนแล้ว จีนมีความนิ่งทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อใหม่ โดยผู้ติดเชื้อใหม่อยู่แค่ระดับหลักสิบต่อวัน

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐประเมินว่า อาจมีคนอเมริกันติดเชื้อนับล้านคน และอาจเสียชีวิตตั้งแต่ 1-2 แสนคน

ความผิดพลาดใหญ่หลวงของสหรัฐอยู่ที่การชะล่าใจและล่าช้าในการป้องกันไปถึง 6 สัปดาห์

เพราะในวันที่ 20 มกราคม ชายวัย 35 ปีในวอชิงตัน ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นรายแรกของประเทศ ชายคนนี้เพิ่งเดินทางกลับจากเมืองอู่ฮั่นของจีน

แต่วิสัยทัศน์ของผู้นำแบบทรัมป์กลายเป็นปัญหา เพราะเขาให้สัมภาษณ์ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ สามารถควบคุมได้ ก็แค่คนคนหนึ่งกลับมาจากจีน ไม่น่าจะมีอะไร

นั่นทำให้องคาพยพทั้งหมดในการป้องกันและควบคุมการระบาดไม่ตื่นตัว

แต่เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง 5,000 ไมล์ ทันทีที่ได้รับรายงานผู้ติดเชื้อรายแรก ผู้นำประเทศสั่งการระดมสรรพกำลังอย่างรวดเร็ว เร่งทำการกักตัวประชาชนต้องสงสัยและเร่งตรวจหาเชื้อ โดยระดมตรวจประชาชนมากถึง 3.57 แสนคน

ปรากฏการณ์แพร่ระบาดของไวรัสมรณะ ฉายให้เห็นประสิทธิภาพการรับมือโรคระบาดระหว่างประเทศประชาธิปไตยกับประเทศสังคมนิยม อย่างชัดเจน

พูดให้เจาะจงก็คือ ประสิทธิภาพของจีนกับบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหมด ซึ่งชัดเจนว่าเวลานี้ประเทศตะวันตก เจ้าแห่งประชาธิปไตยต่างพากันอ่วม คุมสถานการณ์ไม่อยู่

ขณะที่จีนเกือบจะคุมสถานการณ์ได้หมดแล้วเพราะใช้ความเด็ดขาด จนทำให้ขณะนี้ต้องประกาศแบนยุโรปและอเมริกาไม่ให้เดินทางเข้าจีนบ้าง เพื่อป้องกันเชื้อนำเข้าจากต่างประเทศ

 

อเมริกาเป็นเบอร์หนึ่งของโลกด้านเศรษฐกิจและการทหาร พ่วงด้วยเบอร์ 1 ของโลกด้านประสิทธิภาพการควบคุมโรคระบาด ส่วนชาติยุโรปตะวันตกที่ติดเชื้อสูงติด ท็อป 5 และท็อป 10 ล้วนแต่เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ของยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี

นอกเหนือจากประสิทธิภาพของรัฐบาลแล้วระบบการปกครอง น่าจะมีส่วนทำให้เกิดความแตกต่างด้านประสิทธิภาพการควบคุมโรคระบาดระหว่างค่ายตะวันตกประชาธิปไตยกับค่ายเผด็จการอย่างจีน โดยจีนนั้นนอกจากจะสั่งปิดเมืองแบบสนิทแล้ว การบังคับใช้กฎหมายก็เข้มงวดมาก มีการบังคับประชาชนสวมหน้ากากอนามัย ใครฝ่าฝืนจะโดนจัดการทันที

แต่ชาติตะวันตกนั้น กว่าจะกล้าใช้วิธีเด็ดขาดกับประชาชนก็สายเสียแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ค่านิยมไม่ชอบใส่หน้ากากอนามัย น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งสำหรับชาติตะวันตกและเป็นเหตุให้เชื้อแพร่กระจายแบบไฟลามทุ่ง

หมอฝรั่งบอกประชาชนตัวเองว่า ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยถ้าไม่ป่วยหรือไม่มีอาการ ส่วนองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็เคยแนะนำในทำนองเดียวกัน ค่านิยมนี้ฝังลึกในคนตะวันตก ดังนั้น จะเห็นว่าแม้คนติดเชื้อจะทะยานเป็นหมื่นเป็นแสน แต่คนก็ยังใส่หน้ากากน้อยเมื่อเทียบกับเอเชีย

การไม่แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหน้ากากอนามัยต้องสงวนไว้ให้บุคลากรทางการแพทย์ในยามที่จำนวนผู้ป่วยพุ่งสูงขึ้นและหน้ากากขาดแคลน

แต่แทนที่ประชาชนหรือหน่วยงานท้องถิ่นจะหาทางผลิตสิ่งป้องกันอื่นมาทดแทน เช่น หน้ากากผ้า ก็ไม่ทำ ประชาชนเองก็ไม่คิดจะประดิษฐ์ใช้เอง

ถ้าไม่มีจริงๆ อย่างน้อยใช้ผ้าเช็ดหน้ามาผูกปิดปากจมูกก็ยังดี

 

อย่างที่ทราบกันเชื้อโควิด-19 ติดต่อกันผ่านละอองขนาดใหญ่ เช่น ไอ จาม น้ำลาย ซึ่งหน้ากากผ้าสามารถป้องกันได้ระดับหนึ่ง เพราะละอองพวกนี้มีขนาดใหญ่ โดยส่วนใหญ่มีขนาด 50-100 ไมครอน

ข้อมูลที่ออกมาล่าสุดบ่งบอกว่า คนติดเชื้อโควิด-19 นั้น บางคนไม่แสดงอาการหรือแสดงอาการน้อยมาก แต่สามารถแพร่เชื้อได้แล้ว เมื่อไม่แสดงอาการ เจ้าตัวก็คิดว่าตัวเองสบายดีจึงไม่สวมหน้ากาก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเอาเชื้อไปแพร่ให้คนอื่นโดยไม่ตั้งใจ

แต่แพทย์ฝรั่งกลับให้คำแนะนำกับประชาชนว่า หน้ากากไม่สำคัญ แต่การล้างมือและการเว้นระยะห่างสำคัญที่สุด ทั้งที่สิ่งที่ถูกต้องที่สุดคือทำทั้งสามอย่าง คือสวมหน้ากาก ล้างมือและเว้นระยะห่าง

ในบรรดา 3 อย่างนี้ สิ่งที่ทุกคนทำได้ง่ายที่สุดคือ ล้างมือและสวมหน้ากาก ส่วนการเว้นระยะห่างในหลายสถานการณ์ทำได้ยาก เช่น เวลาขึ้นรถขนส่งสาธารณะ หรือแม้แต่ตอนคุยกันปกติก็ย่อมมีการเผลอเรื่องระยะห่าง

ดังนั้น การสวมหน้ากากอย่างน้อยก็ป้องกันตัวเองและคนอื่นได้ เพราะถ้าเชื้อโรคเข้าทางปากหรือจมูกจากการรับละอองฝอยคนอื่นโดยตรง การล้างมืออย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์

 

เจ้าหน้าที่ของ WHO เคยแนะนำเอาไว้เองว่าหากมีใครมาจามหรือไอใส่เรา ให้หันหน้าหนีหรือเอาทิชชู่หรือผ้าปิดปาก จมูกเอาไว้ด้วย จึงน่าแปลกใจว่าทำไม WHO เองไม่ยอมย้ำเรื่องการใส่หน้ากากอนามัยให้เป็นข้อปฏิบัติระดับโลก จะมารอให้มีใครไอใส่แล้วค่อยหันหน้าหนีเอา มันจะทันการณ์หรือ

เมื่อเร็วๆ นี้ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมโรคของจีนให้สัมภาษณ์ว่า ความผิดพลาดร้ายแรงของสหรัฐและยุโรปคือการที่ประชาชนไม่นิยมสวมหน้ากากอนามัย

เพราะตัวการหลักในการแพร่เชื้อคือละอองฝอยจากระบบทางเดินหายใจของมนุษย์

เวลาที่เราพูดจะมีละอองฝอยออกมาตลอดเวลา บางคนอาจมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวโดยไม่ป่วยหรือแสดงอาการ

นี่อาจเป็นไปได้ว่าในระยะหลังนี้ ก่อนที่ไทยจะปิดประเทศ ฝรั่งที่ไม่นิยมสวมหน้ากากอนามัยคือหนึ่งในกลุ่มหลักที่นำเชื้อมาแพร่ในประเทศไทย เห็นได้จากการติดเชื้อมากมายในจังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะถนนบางลา ป่าตอง (ที่มีสภาพไม่ต่างจากพัฒน์พงศ์) ซึ่งมีพวกฝรั่งมาก หลังจากชาวจีนยกเลิกการท่องเที่ยวไปแล้ว

ถ้าฝรั่งทั้งในระดับประชาชน ระดับแพทย์ ระดับรัฐบาล ยังไม่แก้ค่านิยมเรื่องหน้ากากอนามัย คงมีผู้ติดเชื้อและตายอีกเป็นเบือ

มันแปลกที่พวกเขายอมเปลี่ยนวิธีทักทายที่เสี่ยง เช่น เปลี่ยนจากการจับมือมาเป็นการใช้ข้อศอกแตะกัน แต่กลับไม่ยอมรับการสวมหน้ากากป้องกัน

ยังดีที่ล่าสุดนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาแสดงท่าทีว่าจะพิจารณาแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย แต่ WHO ยังพูดคำเดิมว่าถ้าไม่ป่วยไม่ควรใส่

หรือว่า WHO จะเป็นพวกอีเดียตเบอร์ใหญ่และสร้างความผิดพลาดใหญ่เสียเอง และว่าไปแล้วความรุนแรงการแพร่ระบาดครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากความล้มเหลวของ WHO

หรือว่าเรามีพวกโง่เง่าระดับสากลที่กำลังบริหารโลกนี้อยู่