ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 มกราคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | นิธิ เอียวศรีวงศ์ |
ผู้เขียน | นิธิ เอียวศรีวงศ์ |
เผยแพร่ |
ผมได้ยินนักวิชาการอาวุโสที่ผมนับถือท่านหนึ่งพูดทางทีวีว่า ภาวะเศรษฐกิจนั้นเป็นวงจร เมื่อตกต่ำถึงที่สุดแล้วก็ย่อมดีขึ้นเอง แม้ว่าหวยของรัฐบาลยังแตกเหมือนเดิมก็ตาม
นับเป็นคำปลอบใจแก่ประชาชนชาวไทยในยามนี้ได้ดี
ผมคิดว่าท่านพูดจริงอย่างไม่มีใครปฏิเสธได้ หากมองมันในแง่อภิปรัชญาตะวันออก ทุกอย่างก็เป็นวัฏฏะทั้งนั้น เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่หยุดนิ่งหรอก แต่ปัญหาคือวงจรที่ว่านั้น อาจมีระยะยาวนานหลายชั่วอายุคนก็ได้ ฉะนั้น อาจต้องรอถึงรุ่นหลานหรือเหลน กว่าเศรษฐกิจของบางสังคมจะเงยหัวขึ้นมาได้ ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้นั้นจึงไร้ความหมายในชีวิตจริงของผู้คน
นัยยะอีกเรื่องหนึ่งในคำพูดนี้ก็คือ เศรษฐกิจและการเมืองเป็นสองอย่างที่ไม่มีผลกระทบต่อกันและกัน ผมคิดว่าเรื่องนี้ชัดเจนมานานแล้วว่าไม่จริง สภาพทางเศรษฐกิจ (และสังคม) ย่อมมีส่วนกำหนดความเป็นไปทางการเมืองไม่มากก็น้อย และในทางกลับกันสภาพทางการเมืองย่อมมีส่วนกำหนดความเป็นไปทางเศรษฐกิจ (และสังคม) ไม่มากก็น้อย
ว่ากันที่จริงแล้ว อะไรๆ ก็ล้วนมีปฏิสัมพันธ์กับการเมืองทั้งนั้น แม้แต่สภาวะสุขภาพของประชาชน เช่น การเมืองบังคับให้เราต้องมีรัฐมนตรีสาธารณสุขที่ไร้หลักการ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าย่อมสั่นคลอนและทำท่าว่าจะไปไม่รอด เป็นต้น
ประชาชนฟันผุมากๆ ก็อาจทำลายประชาธิปไตยลงสิ้นเชิง เพราะต่างคนก็ปากเหม็นจนไม่อยากจะพูดกันอีกต่อไป
วันนี้ผมจึงอยากนำเอาประวัติศาสตร์ของอาร์เจนตินามาเล่าให้ฟัง เพราะแสดงให้เห็นทั้งวงจรเศรษฐกิจตกต่ำที่กินเวลาหลายชั่วอายุคน และความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกระหว่างเศรษฐกิจและการเมือง
เรื่องนี้น่าจะรู้กันดี หากการศึกษาไทยให้ความสนใจต่อละตินอเมริกามากกว่านี้ ดังจะเห็นได้ว่าข้อมูลที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ก็แค่เอามาจากน้องวิกกับพี่เดีย (Wikipedia) เท่านั้น
หากดูแผนที่อเมริกาใต้ ก็จะเห็นว่าอาร์เจนตินาตั้งอยู่ติดฝั่งมหาสมุทรแอนแลนติก ทำให้ติดต่อได้ยากขึ้นจากศูนย์กลางอาณานิคมของสเปนซึ่งอยู่ที่เม็กซิโกและเปรู กลับไปติดกับอาณานิคมบราซิลของโปรตุเกส ดังนั้น พัฒนาการของประวัติศาสตร์อาร์เจนตินาจึงแตกต่างจากอาณานิคมสเปนในละตินอเมริกาอื่นๆ อยู่บ้าง แม้ว่าอาร์เจนตินาตั้งอยู่ใน “อุปราชมณฑล” (Viceroyalty) ที่มีการทำเหมืองเงินอย่างมากเหมือนกัน แต่แหล่งเหมืองเงินอยู่ในดินแดนที่ในภายหลังก็ไม่ได้รวมอยู่ในอาร์เจนตินา
จนถึงทุกวันนี้ อาร์เจนตินาจึงเป็นประเทศที่ขาวที่สุดในละตินอเมริกา (คือมีคนเชื้อสายนิโกรและอินเดียนพื้นเมืองน้อยที่สุด) ในช่วงหนึ่ง เศรษฐกิจขูดรีดทรัพยากร (extractive economy) ของสเปนทิ้งที่ราบชายฝั่งอันอุดมสมบูรณ์ของอาร์เจนตินาไว้อย่างไม่เหลียวแลด้วยซ้ำ
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ความเคลื่อนไหวชาตินิยมในละตินอเมริกาทำให้ดินแดนในทวีปนี้กลายเป็นประเทศเอกราชหลายประเทศ อาร์เจนตินากลายเป็นสาธารณรัฐอันหนึ่ง ซึ่งมีที่ตั้งของศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เมืองหรือจังหวัดบัวโนสไอเรส อันเป็นเมืองท่าสำคัญมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมสเปนแล้ว
แต่เอกราชกลับนำมาซึ่งสงครามไม่หยุดหย่อน ทั้งสงครามกับภายนอก และสงครามกลางเมือง ตอนแรกก็ต้องรบกับกลุ่มที่ยังจงรักภักดีต่อสเปน (สงครามกู้เอกราช) แล้วก็สงครามกลางเมือง รบกันเองเพราะแตกแยกความคิดเห็นว่า สาธารณรัฐใหม่ควรมีรูปแบบเป็นสหพันธรัฐหรือรัฐเดี่ยว และไม่ว่าจะวางรูปของรัฐอย่างไร ก็มีคนก่อ “กบฏ” หรือแข็งขืนอำนาจรัฐบาลกลางเสมอ ในจังหวัดรอบนอกบ้าง กลางเมืองหลวงบ้าง จึงทำให้กองทัพมีบทบาททางการเมืองสูงตลอดมา และเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองอยู่ประจำเหมือนเมืองไทยนี่แหละครับ มีประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งสลับกันไปกับประธานาธิบดีนายพล
เปรียบเทียบกับสหรัฐ สงครามกู้เอกราชกินเวลาไม่นานนัก ครั้นได้ชัยชนะแล้ว ก็ไม่มีสงครามจากมหาอำนาจภายนอกไปอีก 36 ปี (หนึ่งชั่วอายุคน) สงครามที่เหลืออยู่คือสงครามแย่งทรัพยากรจากชาวพื้นเมืองอินเดียน ซึ่งถึงอย่างไรอเมริกันซึ่งมีอาวุธและยุทธวิธีเหนือกว่าย่อมชนะแน่ ซ้ำในหลายกรณี อเมริกันท้องถิ่นในรัฐต่างๆ ที่เป็นด่านหน้าของการบุกเบิกไปฝั่งตะวันตก สามารถจัดการเองได้ด้วย
กองทัพสหรัฐจึงเรียบร้อยทางการเมืองในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ นับเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยในการทำให้ประชาธิปไตยอเมริกันตั้งมั่นขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1860 เป็นต้นมา การเมืองอาร์เจนตินาก็เริ่มเข้าสู่ความสงบและเสถียรภาพ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงนี้ดำเนินนโยบายเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ คือเปิดให้แก่การลงทุนและการค้าเสรี ในขณะที่ช่วงท้ายๆ ของยุคนี้ก็ขยายสิทธิประชาธิปไตยด้วย เช่น ขยายสิทธิเลือกตั้งให้แก่พลเมืองชายทุกคน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก่ชาวนาในชนบทมากขึ้น
ดังนั้น ตั้งแต่ประมาณ 1860 เป็นต้นมา จึงมีการอพยพเข้าของชาวยุโรปจำนวนมาก ทั่วอเมริกาสองทวีปในช่วงนี้อาร์เจนตินารับผู้อพยพผิวขาวมากเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐ ทำให้ประชากรอาร์เจนตินาเพิ่มขึ้น 5 เท่า
แต่ที่มากเสียยิ่งกว่าจำนวนประชากรก็คือ เศรษฐกิจอาร์เจนตินาโตขึ้น 15 เท่า เพราะเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายเสรีนิยมของรัฐบาล และการเพิ่มประชากร
ที่เคยส่งออกข้าวสาลีปีละ 100,000 ตัน ก็เพิ่มเป็น 2,500,000 ตัน ส่งออกเนื้อวัว 28,000 ตันเป็นกว่า 4 แสนตัน มีทางรถไฟเพิ่มขึ้นจาก 500 ก.ม.เป็น 30,000 ก.ม.
สถิติการอ่านออกเขียนได้จาก 22% ของประชากรเป็น 65% เป็นตัวเลขที่สูงสุดในละตินอเมริกาสืบต่อมาอีกนาน
ขอให้สังเกตด้วยนะครับว่า มูลค่าสินค้าออกมหาศาลของอาร์เจนตินามาจากเกษตรกรรม และไม่ใช่เกษตรกรรมของผู้ประกอบการรายย่อย แต่เป็นเกษตรกรรมแบบทุ่งเลี้ยงสัตว์หรือทุ่งปลูกข้าวขนาดใหญ่ ซึ่งล้วนเป็นการประกอบการที่ใช้ทุนเข้มข้น (บนที่ดินราคาถูก) มากกว่าแรงงานเข้มข้น
ไม่ต้องบอกก็รู้ได้เลยว่า ส่วนใหญ่ของประชากรจะได้ส่วนแบ่งของรายได้ประชาชาติไม่มากนัก
ที่ต้องเตือนไว้ก่อนก็เพราะว่าในช่วงนี้ รายได้ต่อหัวประชากรของอาร์เจนตินานั้นสูงมากเป็นที่ 7 ของโลก มากกว่าฝรั่งเศส, เยอรมนี, แคนาดา, ประเทศสแกนดิเนเวียทั้งหมด สูงกว่าอิตาลี 70 เท่า สูงกว่าสเปนเจ้าอาณานิคมเก่า 90 เท่า กว่าญี่ปุ่น 180 เท่า และสูงกว่าบราซิลซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน 400 เท่า
ส่วนกิจการอุตสาหกรรมนั้นเพิ่งเริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 20 และเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นทั้งสิ้น (คือไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตมากนัก เพราะแรงงานราคาถูกเนื่องจากการล้มละลายของไร่นาขนาดเล็ก) แม้กระนั้นจำนวนของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น จนมีสหภาพแรงงานสอง-สามองค์กร ภายใต้อุดมการณ์สังคมนิยมและอนาธิปไตย ซึ่งแข่งกัน
แฟรนซิส ฟูกูยาม่า กล่าวว่า ดูอาร์เจนตินาในช่วงนี้แล้ว ก็ควรทำนายได้เลยว่าอาร์เจนตินาจะต้องเป็นยูเอสเอของละตินอเมริกาในปัจจุบันอย่างแน่นอน แต่ก็อย่างที่รู้กันนะครับว่าอาร์เจนตินาในปัจจุบันห่างไกลจากยูเอสเอมากสักเพียงไร
เพราะในที่สุด เดือนพฤษภาคม (อุ๊บส์ ขอโทษครับ เดือนกันยายน) 1930 ก็มาถึง เกิดการรัฐประหารขึ้นในอาร์เจนตินา จากนั้นการเมืองของอาร์เจนตินาก็เสื่อมลง มีแต่เรื่องอื้อฉาว ฆ่ากันกลางสภา และสลับด้วยการรัฐประหารของกองทัพ กลับมาสู่การเลือกตั้งใหม่ เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับคอร์รัปชั่นใหม่ รัฐบาลทำสัญญาเสียเปรียบอย่างโง่ๆ กับมหาอำนาจอังกฤษ (ตอนนั้นจีนยังไม่ได้เป็นมหาอำนาจ) แล้วก็รัฐประหารใหม่
จนถึงการยึดอำนาจของทหารภายใต้นายพลปิโนเชต์ และความโหดร้ายป่าเถื่อนที่เผด็จการทหารกระทำต่อประชาชนซึ่งเป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้ว
ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้อาร์เจนตินากลับกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาใหม่ รายได้ประชาชาติตกมาเป็นที่ 87 ต่ำกว่าปัวโตริโก, มาเลเซีย และชิลี ฯลฯ ประมาณว่าอัตราเงินเฟ้อในปีที่แล้วสูงกว่า 40%
ผมไม่ต้องการให้เข้าใจว่ารัฐประหารครั้งเดียว ทุกอย่างพังหมดอย่างโงหัวไม่ขึ้นเลย อันที่จริง 1930 อยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ซึ่งกระทบต่ออาร์เจนตินาแน่นอน ผลก็คือคนรวยเจ้าของไร่ข้าวและปศุสัตว์พากันอพยพเข้าเมือง คนจนในชนบทก็อพยพหนีความหิวเข้าเมืองด้วย สลัมขนาดใหญ่เกิดขึ้นทั่วเมืองใหญ่ของอาร์เจนตินา รวมทั้งเมืองหลวงบัวโนสไอเรสด้วย
ในขณะเดียวกัน การขยายตัวของประชาธิปไตยและการเคลื่อนไหวของแรงงานจนทำให้ได้รายได้สูงขึ้น ก็ทำความหวั่นวิตกแก่ชนชั้นสูงอาร์เจนตินา เริ่มไม่ไว้วางใจระบอบประชาธิปไตยมาก่อนเศรษฐกิจตกต่ำแล้ว ครั้นต้องเผชิญวิกฤต ก็พอใจที่จะให้ใช้อำนาจเผด็จการ (ของทหารหรือพลเรือนก็ตาม) เพื่อทำให้ระบบเก่าที่ตัวได้ประโยชน์มีความมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ผลก็คือระบบการเมืองเน่าเปื่อยผุพังลง เพราะเผด็จการยิ่งทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นที่ตรวจสอบไม่ได้ (มีแต่ข่าวลือหนาหู) รัฐกลับอ่อนแอลงเพราะระบบราชการไม่ถูกกวดขันจากทั้งข้างบน เนื่องจากดึงเอาไปเป็นพวก และไม่ถูกกวดขันจากข้างล่างเพราะถูกอำนาจเผด็จการขวางไว้
ส่วนเสี่ยๆ ซึ่งเคยเอารัดเอาเปรียบสังคมมาก่อนแล้ว ต่างก็แฮปปี้ เพราะเอาเปรียบได้สะดวกขึ้น แถมยังรักษาระบบเอาเปรียบไว้ให้มั่นคงมากขึ้นด้วย
เอากว้างๆ แค่นี้แล้วกันว่า ความเสื่อมโทรมทางการเมืองรุมเล้าจนเศรษฐกิจเงยหัวไม่ขึ้น บรรยายมากก็ทำความเศร้าแก่คนไทยเปล่าๆ
เมื่อประเทศต้องเผชิญวิกฤต การตัดสินใจทางการเมืองผิดเพียงครั้งเดียวในบางครั้ง เป็นผลให้ชาติทั้งชาติสะดุดขาตัวเองตกเหวลึกไปอย่างกู่ไม่กลับ
แน่นอนครับ การตัดสินใจผิดของชาติไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนการตัดสินใจคบเพื่อนผิด, คบเพศตรงข้ามผิด, ฯลฯ ของปัจเจก มันมีปัจจัยที่ซับซ้อนกว่านั้น การตัดสินใจของชาตินั้นไม่มีกระบวนการที่อยู่ในบังคับของใครคนเดียว แต่เป็นผลรวมของปัจจัยหลายต่อหลายอย่างซึ่งแวดล้อมคนกลุ่มต่างๆ ทำให้ต่างตัดสินใจไปทางหนึ่งทางใดที่ไม่เหมือนกัน แต่เกิดผลรวมๆ ที่ทำให้ชาติเดิน “ผิด”
ผมขอยกกรณีอาร์เจนตินาใน ค.ศ.1930 เป็นตัวอย่าง
การเลือกตั้งที่ทำติดต่อกันมานาน เป็นผลให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเสนอนโยบายปฏิรูปที่รุนแรงขึ้นตามลำดับ ประธานาธิบดีคนสุดท้ายก่อนจะถูกรัฐประหาร มาจากพรรคที่โฆษณาว่าจะปฏิรูปอย่างถึงรากถึงโคน (UCR) และได้ขยายสิทธิประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง
แนวโน้มทางการเมืองเช่นนี้ทำความหวั่นวิตกแก่ชนชั้นนำจำนวนน้อย อย่าลืมสิ่งที่ได้กล่าวแล้วว่า ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา ไม่ได้กระจายถึงประชากรส่วนใหญ่
การหลั่งไหลของประชากรชนบทเข้าสู่เขตเมืองอย่างรวดเร็วทำให้เมืองเช่นบัวโนสไอเรสมีประชากรเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัวในเวลาเพียง 20 ปี ประชากรเหล่านี้ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง และจะกลายเป็นผู้สนับสนุนนายพลเปรอนหลังรัฐประหารของทหารในเวลาต่อมา การขยายสิทธิเลือกตั้งแก่ประชากรชายในกลุ่มนี้ยิ่งทำความตระหนกให้แก่ชนชั้นนำ
ตลอดเวลาที่ประชาธิปไตยค่อนข้างมีเสถียรภาพ นักการเมืองอาร์เจนตินาไม่ได้เข้าไปปฏิรูปกองทัพเลย ปล่อยให้กองทัพที่เคยมีบทบาททางการเมืองอย่างสูง ชะเง้อคอน้ำลายไหลอยู่ในค่ายทหารถึง 70 ปี (1860-1930)
อย่าลืมว่ากองทัพก็เป็นหน่วยราชการอันหนึ่งที่จ้างงานคนจำนวนมาก ทำให้ไม่มีนักการเมืองคนไหนอยากไปทำลายคะแนนเสียงของตนเองในค่ายทหาร
ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ อีกมากที่ทำให้การรัฐประหารใน 1930 ประสบความสำเร็จ และนำประเทศสู่ความหายนะในที่สุด
อาร์เจนตินาเป็นบทเรียนให้เห็นว่า ความเสื่อมสลายของระบบการเมืองเป็นเหตุให้เกิดความล่มสลายของเศรษฐกิจได้ แม้ไม่อย่างตรงไปตรงมา แต่เป็นเหตุอันนำไปสู่เงื่อนไขอื่นๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจไม่กลับมาจำเริญอย่างเก่าได้อีก ในขณะเดียวกัน “วงจร” ทางเศรษฐกิจตกต่ำที่กินระยะเวลาสืบเนื่องกันถึง 3 ชั่วอายุคน ไม่โผล่พ้นน้ำจนบัดนี้ ก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน