ปรากฏการณ์โลกโซเชียลขู่ ‘ดารา’ หรือว่าคือ ‘เผด็จการ’ อย่างหนึ่ง??/นงนุช สิงหเดชะ/

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

ปรากฏการณ์โลกโซเชียลขู่ ‘ดารา’

หรือว่าคือ ‘เผด็จการ’ อย่างหนึ่ง??

ในช่วงนี้ดูเหมือนดาราและคนในวงการบันเทิงที่ออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือปกป้องสถาบันกษัตริย์ หากเนื้อหามีลักษณะพาดพิงพรรคสีส้มหรือพรรคอนาคตใหม่ในทางลบ ก็จะถูกสาวกพรรคนี้รุมด่าอย่างหยาบคายทางโลกโซเชียล พร้อมกับประกาศอาฆาตจะแบนดาราคนนั้น

คนเหล่านี้แสดงตัวว่าเป็นฝ่ายรักประชาธิปไตย ไม่ชอบเผด็จการ

คนเหล่านี้อ้างว่าใจกว้างเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง

คนเหล่านี้เรียกดาราหรือใครก็ตามที่ไม่ต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าพวกสลิ่ม

ใครที่แสดงออกว่ารักสถาบันก็จะถูกกล่าวถึงอย่างดูหมิ่นว่าพวกสลิ่ม

ใครก็ตามเรียกคนอื่นว่าสลิ่ม ย่อมแสดงว่าพวกเขาคือเสื้อแดงที่ตกค้างมาจากยุคทักษิณนั่นเอง

เพียงแต่ยุคนี้ทักษิณมีบทบาทน้อยลงไป ก็เลยสืบทอดถ่ายโอนพลังสนับสนุนไปยังพรรคสีส้มที่จะสานต่อเจตนารมณ์คณะราษฎร 2475 แทน

ในขณะที่คนเหล่านี้เรียกขานพวกสลิ่มอย่างดูถูกดูแคลน พวกเขาก็พยายามมโน ยกตนว่าเหนือกว่า ก้าวหน้ากว่า ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรมาพิสูจน์ว่าพวกที่เรียกตัวเองอย่างภูมิใจว่า “ไม่ใช่สลิ่ม” จะมีอะไรเหนือกว่าพวกสลิ่ม

ไม่ว่าจะในเชิงฐานะทางเศรษฐกิจ ความรู้ หรือความทันโลก หรือแม้กระทั่งความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตย

ดูๆ ไปเทียบกันแล้ว เฉพาะเรื่องดารา จะเห็นว่าพวกเสื้อแดงหรือพวกที่ไม่ใช่สลิ่ม ตามด่า ตามราวีอาฆาตดาราสลิ่ม มากกว่าที่พวกสลิ่มตามราวีดาราเสื้อแดง

ทั้งที่ละเมอพูดตลอดเวลาว่ารักประชาธิปไตยมากกว่าสลิ่ม

 

กรณีที่เป็นประเด็นร้อนเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับดาราและโพสต์ทางการเมือง ก็คือโพสต์ของดาราชาย ปั้นจั่น-ปรมะ อิ่มอโนทัย ซึ่งโพสต์ (ตั้งค่าส่วนตัว) ว่า “คสช.อยู่มา 4-5 ปี บอกสืบทอดอำนาจ ได้อยู่ต่ออีก 3 ปี ก็ยังบอกสืบทอดอำนาจ แล้วไอ้ที่สืบๆ กันมาจนลูกหลานจบนอกขับรถซูเปอร์คาร์นี่มันยังไง ตรูไม่เห็นจะมีนักการเมืองใช้ชีวิตธรรมดาสักคน …ฉะนั้น อย่าบ่นมาก ทำมาหากินไป มีเยอะก็เอาไปช่วยคนอื่น ไม่ใช่แ…กแต่เหล้าปาร์ตี้มันทุกคืน”

เรื่องนี้ร้อนขึ้นมาเพราะพื้นหลังของโพสต์นั้นเป็นโลโก้ของพรรคอนาคตใหม่ ดังนั้น ก็เป็นของแน่ที่สาวกส้มหวานจะต้องเข้าไปถล่มด่าอย่างหยาบคาย แล้วก็ชวนกันแอนตี้ไม่ไปดูภาพยนตร์ของปั้นจั่นที่กำลังเข้าโรงฉาย

ซึ่งการแอนตี้ก็คงมีผลส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนั้นไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้

ฝ่ายแอนตี้ก็คงชอบใจ สะใจ คิดว่าพลังอำนาจของพวกตนยิ่งใหญ่มากที่สามารถเล่นงานดาราสลิ่มได้

แต่พวกเขาคงลืมไปว่าดาราเสื้อแดง เสื้อส้ม ก็ไม่ได้มีอนาคตที่ดีนัก ถ้าอยู่ข้าง (มโน) ประชาธิปไตยแล้วอนาคตดีกว่า เป็นที่ต้อนรับของสังคม ดาราเสื้อแดงก็ควรมีอนาคตที่รุ่งโรจน์กว่านี้ อนาคตของสื่อที่เชียร์สีแดงก็ใช่ว่าจะรุ่งโรจน์เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม กรณีภาพยนตร์ของปั้นจั่นคงยากที่จะวัดได้ว่าการที่หนังไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้เกิดจากการกระแสแอนตี้เพียงอย่างเดียว

เพราะหากมองในมุมของนักวิจารณ์บางคนก็เห็นว่าหนังยังไม่เจ๋งถึงขั้นจะเรียกคนไปดูแบบถล่มทลายได้

จริงอยู่ที่ว่าการไปดูหรือไม่ไปดูเป็นสิทธิส่วนตัวของแต่ละคน ถ้าเราไม่ชอบแนวคิดทางการเมืองของดาราคนไหน ก็เป็นสิทธิที่จะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน

แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง การที่รวมกลุ่มกันข่มขู่ ด่าว่า อาฆาต แอนตี้ ดาราที่เห็นต่างจากเราในทางการเมือง ก็คือลักษณะของเผด็จการอย่างหนึ่ง เพราะการทำเช่นนั้นคือการข่มขู่ให้ดารากลัว ข่มขู่ให้เงียบเสียง ไม่แสดงความเห็นทางการเมือง

สุดท้ายก็เท่ากับว่าเรากดดันดาราคนนั้น ให้เงียบเสียงทางการเมือง ไม่พูดเรื่องการเมือง

 

ที่ผ่านมา พวกไม่ใช่สลิ่ม โวยวายอยู่ทุกวันว่าประเทศอยู่ใต้เผด็จการ ใต้กระบอกปืน ประชาชนไม่สามารถแสดงออกทางความคิดได้อย่างเสรี ถูกปิดปาก ถูกทำให้เงียบเสียง

แต่เผด็จการที่เราพูดถึง ไม่ควรมีความหมายจำกัดเฉพาะเรื่องที่ว่าใครมีปืนกับรถถังเท่านั้น เพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว จนมีการพูดกันว่าใครครองโลกโซเชียลได้เป็นฝ่ายชนะ สะท้อนให้เห็นว่าพลังอำนาจยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่ก็คือสื่ออย่างโซเชียลมีเดีย

ในเมื่อพลังโซเชียลมีเดีย มีอิทธิฤทธิ์มากกว่ากระบอกปืนกับรถถังด้วยซ้ำไป คำถามจึงมีว่า การที่พวกคุณใช้พลังโซเชียลข่มขู่คนอื่นที่มีความเห็นตรงข้ามทางการเมืองกับคุณ จนทำให้คนคนนั้นไม่กล้าพูดหรือแสดงความเห็นอะไรอีกเลย มันต่างจากเผด็จการที่มีปืนตรงไหน เพราะสุดท้ายทำให้คนคนนั้น “ตาย” เหมือนกัน เพียงแต่ตายคนละลักษณะ คือทำให้ “ตาย” ทางความคิด

การถูกทำให้ตายทางความคิดแบบนี้ ก็คือการอยู่ภายใต้โลกเผด็จการอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่าโซเชียลมีเดีย

 

ถัดมาก็เป็นเรื่องทาทา ยัง นักร้องดัง ที่เข้าไปคอมเมนต์ในโพสต์ของคนอื่น ที่เขียนว่า “ดักตบช่อ” (แค่ประชดประชัน) แล้วทาทาเข้าไปแจมว่า “รบกวนด้วยค่ะ”

คำว่าดักตบช่อ น่าจะหมายถึง ช่อ พรรณิการ์ วานิช ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกขุดคุ้ยว่าเคยโพสต์ลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันหลายครั้งและหลายปีต่อเนื่องกัน จนสร้างความโกรธให้กับคนไทยจำนวนมาก

เช่นเคย สาวกส้มหวานเข้าไปถล่มทาทา ยัง กล่าวหาว่าสนับสนุนการใช้ความรุนแรง แต่ขณะเดียวกันดูเหมือนคนเหล่านี้ไม่เคยเข้าไปตำหนิช่อเรื่องพฤติกรรมลบหลู่จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ ไม่ตำหนิยังไม่พอ ก่อนหน้านี้ยังพากันปกป้องด้วยการติดแฮชแท็ก #SavePannika

คอมเมนต์ทาทา ยัง ที่เกิดขึ้นนั้น ว่าไปแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับการเมืองโดยตรง แต่น่าจะเป็นเพราะไม่พอใจพฤติกรรมส่วนตัวของช่อเรื่องสถาบันกษัตริย์ การกระทำของช่อที่ถูกตำหนินั้น ไม่ได้เกิดจากการแสดงความเห็นทางการเมือง แต่เป็นการลบหลู่ ใส่ร้ายสถาบันที่กระทบจิตใจคนไทย

และเสี่ยงจะผิดกฎหมายด้วย

 

ปรากฏการณ์ที่สังเกตเห็นได้ชัดอย่างหนึ่งของพวกที่ไม่ใช่สลิ่มก็คือพยายามใส่ร้ายป้ายสีใครก็ตามที่ออกมาปกป้องสถาบันกษัตริย์ว่า “โหนเจ้า” ซึ่งกลายเป็นชุดคำพูดซ้ำซากสำเร็จรูปที่คนเหล่านี้ใช้บ่อยเหมือนท่องจำต่อๆ กันมา

การใส่ร้ายนี้คล้ายจะมีเป้าหมายกดดันไม่ให้ใครกล้าออกมาปกป้องสถาบันกษัตริย์เมื่อมีคนกล่าวร้ายหรือลบหลู่เกิดขึ้น เช่นกรณีของช่อนั้น เมื่อมีคนออกมาตอบโต้หรือตำหนิช่อเรื่องลบหลู่ พวกเขากลับด่าคนที่ออกมาปกป้องว่า “โหนเจ้า” ทั้งที่คนที่ออกมาปกป้องนั้นทำไปโดยธรรมชาติเพราะไม่พอใจและรู้สึกโกรธ เป็นแค่ปฏิกิริยาโดยธรรมชาติ ถ้าคนมีสามัญสำนึกปกติก็จะคิดได้เองว่านี่เป็นการปกป้อง ไม่ใช่การโหน

พวกที่ไม่ใช่สลิ่มหาว่านำสถาบันมาใส่ร้ายช่อทางการเมือง ทั้งที่ไม่ใช่การใส่ร้าย แต่เป็นข้อเท็จจริงที่มีพยานหลักฐานชัด ไม่มีการแต่งเดิมใดๆ

อีกทั้งเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยว่าไม่ได้ทำ

 

พวกที่ไม่ใช่สลิ่มมีลักษณะร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งคือ 1.ห้ามใครตำหนินักการเมืองที่ตัวเองชอบ 2.ห้ามใครออกมาปกป้องสถาบันกษัตริย์ แม้จะมีใครลบหลู่จาบจ้วงก็ตาม ต้องอยู่เฉยๆ ไม่เช่นนั้นจะถูกตั้งข้อหา “โหนเจ้า”

พวกนี้จะมีตรรกะแปลกๆ คืออ้างว่ารักสถาบันกษัตริย์ แต่ไม่ชอบให้ใครเอ่ยถึงสถาบันกษัตริย์ในทางชื่นชม (แต่ลบหลู่ ว่าร้ายได้) เช่น เวลามีเหตุการณ์ลบหลู่เกิดขึ้น แล้วมีคนดังหรือดาราบางคนโพสต์ว่า “สถาบันกษัตริย์ ทำให้เรามีชาติและอยู่กันอย่างร่มเย็น” ก็จะมีพวกที่ไม่ใช่สลิ่มเข้าไปคอมเมนต์แนวทางเดียวกันหมด อาทิ “ทำไมต้องอ้างสถาบัน/หยุดโหนเถอะ…ไม่มีใครล้มสถาบันหรอก”

ทั้งที่โพสต์ข้างบนนั้นเป็นโพสต์กลางๆ มาก ไม่ได้พาดพิงถึงใครเลยในทางการเมือง แต่ไฉนพวกไม่ใช่สลิ่มพากันร้อนตัวเหมือนผีโดนน้ำมนต์

คนเหล่านี้ดูไปแล้วมีนิสัยเผด็จการโดยธรรมชาติ คือไปก่อกวน กดดัน บีบบังคับไม่ให้คนไทยที่รักสถาบัน แสดงออกว่ารักชาติ รักสถาบันได้เลย

แค่พูดถึงคุณความดีของสถาบันกษัตริย์ต่อบ้านเมือง ยังพูดไม่ได้เลย