รายงานพิเศษ / เก้าอี้ข้า ใครอย่าแตะ ‘บิ๊กตู่’ จอง ‘กลาโหม-มท.’ ‘ป้อม-ป๊อก’ พร้อมรีเทิร์น จับตาทำเนียบน้อย ‘บิ๊กป้อม’ และทำเนียบกำลังรบ ‘บิ๊กแดง’

รายงานพิเศษ

 

เก้าอี้ข้า ใครอย่าแตะ

‘บิ๊กตู่’ จอง ‘กลาโหม-มท.’

‘ป้อม-ป๊อก’ พร้อมรีเทิร์น

จับตาทำเนียบน้อย ‘บิ๊กป้อม’

และทำเนียบกำลังรบ ‘บิ๊กแดง’

แม้บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเอ่ยปากว่า อยากให้บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่กลับมาช่วยงานในรัฐบาลหน้าต่อ หากตนเองได้เป็นนายกรัฐมนตรี

“ถ้าพูดถึงอยาก ก็โอเคอยาก เพราะไว้ใจกันมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ด้วยว่าจะรับแค่ไหนอย่างไร” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

แต่ก็น่าสังเกตที่ว่า ได้ออกตัวว่า เป็นห่วงกังวลเรื่องสุขภาพของ พล.อ.ประวิตร

ทั้งๆ ที่ พล.อ.ประวิตรกล่าวก่อนหน้านั้นว่า “สุขภาพไม่เกี่ยว ไม่ใช่ปัญหา แต่อยู่ที่ว่า เขามองเรายังไง”

พร้อมทั้งยังคงแสดงให้สื่อเห็นว่าตนเองแข็งแรง ในการเดินเหินคล่องแคล่ว หรือการลงพื้นที่ต่างจังหวัด

แต่กระนั้น ก็เกิดข่าวสะพัดว่า แม้ พล.อ.ประวิตรจะคัมแบ๊กร่วม ครม.บิ๊กตู่ในรัฐบาลใหม่ แต่อาจจะเหลือแค่เก้าอี้เดียว คือรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง

 

“เราไม่มีเก้าอี้” พล.อ.ประวิตรเปรยสั้นๆ เมื่อถูกถามถึงข่าวการไปเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลในการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี

ท่ามกลางกระแสข่าว พล.อ.ประวิตรน้อยใจ หาก พล.อ.ประยุทธ์จะให้ร่วม ครม. แต่ให้เหลือเก้าอี้เดียว

ทั้งๆ ที่เหตุผลที่ พล.อ.ประวิตรยอมมาช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์หลังการรัฐประหารเมื่อ 5 ปีที่แล้ว คือต้องการมาดูแลกองทัพ ในฐานะที่เป็นอดีต รมว.กลาโหม อดีต ผบ.ทบ. และเป็นทหารเก่า

แต่หากให้เป็นรองนายกฯ แบบลอยๆ ไม่ได้ควบ รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตรก็อาจจะน้อยใจถึงขั้นไม่รับตำแหน่งใดๆ และวางมือออกไปช่วยงานเบื้องหลังแบบเงียบๆ

ด้วยมีข่าวสะพัดว่า บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะมาเป็น รมว.กลาโหมแทน และตั้งบิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล เป็น รมช.กลาโหม ตามเดิม

เพราะแม้ พล.อ.อนุพงษ์จะเป็น รมว.กลาโหม แต่ก็เชื่อกันว่า พล.อ.ประวิตรจะยังคงเป็น รมว.กลาโหมตัวจริง ที่คอยบัญชาการดูแลอยู่เบื้องหลัง ทั้งในฐานะพี่ใหญ่ และในฐานะรองนายกฯ ที่ดูแลฝ่ายความมั่นคง

เพียงแต่ว่า รองนายกฯ ไม่ได้อยู่ในบอร์ด 7 เสือกลาโหม ในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายทหารระดับนายพล

หาก พล.อ.ประวิตรมีความเห็นไม่ตรงกับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยากที่ พล.อ.ประวิตรจะสั่งการได้ แต่เชื่อได้ว่า โอกาสความเห็นไม่ตรงกันของพี่ใหญ่กับพี่รอง มีน้อย

อีกทั้ง พล.อ.ประวิตรก็จะหนุนให้ พล.อ.ชัยชาญ ซึ่งเป็นเสมือนร่างทรงของ พล.อ.ประวิตร คอยดูแลงานกลาโหมมาตลอด เป็น รมช. กลาโหมต่อไป

กระแสข่าวบิ๊กป๊อก นั่ง รมว.กลาโหม ที่สะพัดออกมานั้น เป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ต้องการให้ พล.อ.ประวิตรกลายเป็นตำบลกระสุนตกของรัฐบาลใหม่ หากต้องคุมกลาโหมเช่นเดิม หลังจากที่โดนมาเสียพรุน ตลอด 5 ปีของรัฐบาล คสช. จนถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลบิ๊กตู่

แต่ดูเหมือนว่า ถ้าให้ พล.อ.อนุพงษ์เลือกได้ ตัดสินใจเอง เขายังอยากที่จะทำหน้าที่ รมว.มหาดไทยต่อ มากกว่าที่จะมาคุมกลาโหม ที่เป็นเป้าสายตา และเป้าหมายใหญ่ทางการเมือง โดยเฉพาะการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในแต่ละครั้ง

“ไม่มีหรอก” พล.อ.อนุพงษ์กล่าวสั้นๆ ต่อกระแสข่าวนั่ง รมว.กลาโหม

ทั้งนี้เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์ต้องการทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคถาวร ก็ย่อมต้องการความได้เปรียบทางการเมือง สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ที่เชื่อกันว่า อาจเกิดขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า ก็ต้องให้ พล.อ.อนุพงษ์มาทำงานต่อ

เพราะถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศชัดๆ แล้วว่า กระทรวงกลาโหมและมหาดไทยซึ่งเป็นกระทรวงความมั่นคง จะต้องอยู่กับพรรคหลัก คือพรรคพลังประชารัฐ ในการดูแลและทำงานสานต่อ

จนถูกตีความว่า เป็นการส่งสัญญาณการจองเก้าอี้ รมว.กลาโหม และ รมว.มหาดไทย ให้ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ แล้วนั่นเอง

แต่อาจหวั่นกระแสต่อต้านบิ๊กป้อม บิ๊กป๊อก พล.อ.ประยุทธ์จึงไม่กล้าที่จะพูดออกมาตรงๆ ว่า พี่ชายที่แสนดีทั้ง 2 จะยังคงมาช่วยงานต่อ

จึงพูดแบบกั๊กๆ ว่า “แล้วแต่ท่าน”

พล.อ.ประวิตรก็เลยต้องกั๊กต่อว่า “ก็ยังไม่รู้ ท่านอยากได้ก็แล้วแต่ท่าน เหตุการณ์ข้างหน้ายังไม่มีใครรู้”

“เพราะนายกฯ เองก็ยังไม่รู้อนาคตตัวเองเลยว่าจะได้เป็นนายกฯ หรือไม่” บิ๊กป้อมเปรย

ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่มาช่วยงานต่อ แต่ระบุว่า ต้องให้ได้นายกรัฐมนตรีก่อน แล้วก็ต้องให้เกียรตินายกฯ เป็นคนตัดสินใจ ในการเลือกคนมาทำงาน

เพราะถึงอย่างไร พี่น้อง 3 ป. จะต้องเดินหน้าไปด้วยกัน ต่อให้มีกระแสต่อต้าน พล.อ.ประวิตรออกมาก่อนหน้านี้ก็ตาม

อีกทั้งหากรัฐบาลใหม่ไม่มีชื่อ พล.อ.ประวิตรร่วม ครม. ก็อาจจะทำให้พี่ใหญ่เสียฟอร์ม และเสียใจไม่น้อย

แต่หากให้เป็นรองนายกฯ ตำแหน่งเดียว ก็ดูจะเป็นแค่ตำแหน่งลอยๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่า ถ้าให้นั่งเก้าอี้เดียว พล.อ.ประวิตรเลือกที่จะวางมือ

แต่สัญญาณหลายอย่างก็ทำให้นายทหารใกล้ชิดรู้สึกว่าแปลกๆ ไป เช่น ในระยะหลังๆ นี้ จะเห็น พล.อ.อนุพงษ์มาคุยกับ พล.อ.ประวิตรที่บ้าน ร.1 รอ. ทุกวัน ประหนึ่งว่า มีเรื่องที่ต้องคุยกันเยอะ

อาจเป็นเพราะต้องหารือความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล การต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีของพรรคร่วม แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จะประสานเสียงกันยืนยันว่า พล.อ.ประวิตรไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม

แต่ก็มีข่าวออกมาจากฝ่ายการเมืองตลอดว่า ไปหารือกับ พล.อ.ประวิตร

 

ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่หมายที่ พล.อ.ประวิตรใช้นัดหมายในการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล จะไม่ใช่บ้าน ร.1 รอ. อีกแล้ว เพราะหวั่นว่า จะถูกเรียกว่า ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

แต่มีการนัดหมายกันที่เซฟท์เฮาส์บ้าง โรงแรมบ้าง ร้านอาหารบ้าง

ส่วนที่บ้าน ร.1 รอ. มูลนิธิป่ารอยต่อฯ นั้น จะมีแต่สมาชิกพรรคพลังประชารัฐและ ส.ว.สายบิ๊กป้อม ที่เป็นมือประสานด้านการเมืองเท่านั้น

ในช่วงหลังเลือกตั้งเป็นต้นมา จนช่วงการจัดตั้งรัฐบาลนี้ ได้มีการจัดระบบการรักษาความปลอดภัย การเข้าออกมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ใน ร.1 รอ.ใหม่ โดยต้องใช้ระบบสแกนบัตร

บุคคลที่จะเข้าบ้าน ร.1 รอ. ได้จะต้องมีบัตรเข้าออกในระบบใหม่ ส่วนคนที่ไม่ใช่ขาประจำ ก็จะต้องใช้การแลกบัตร โดยจะต้องให้คนในบ้านมารับ จึงจะเข้าได้

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คนเข้าหา พล.อ.ประวิตรได้ง่ายๆ เช่นแต่ก่อน เพราะ พล.อ.ประวิตรก็ได้ชื่อว่าเป็น “ป้อมหวานเจี๊ยบ” ใครมาขอให้ช่วยอะไร ก็ช่วย ก็ให้หมด

แต่ในบางกรณีอาจหลงลืมหรือไม่ได้ติดตามเรื่องให้ คนที่ร้องขอก็อาจจะมาติดตามทวงถาม จนกลายเป็นการรบกวน พล.อ.ประวิตรก็มี จึงมีการจัดระบบใหม่

ไม่แค่นั้น ว่ากันว่า ในอนาคตเมื่อร่วม ครม.กับนักการเมือง พรรคการเมือง อาจจะมีนักการเมืองมาหา พล.อ.ประวิตรบ่อยครั้ง จึงต้องมีระบบป้องกันไว้ก่อน ว่าจะให้เข้าเฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาต มีการติดต่อประสานมาก่อนเท่านั้น

เรียกได้ว่า เป็นการจัดระบบเพื่อรองรับการคัมแบ๊กของ พล.อ.ประวิตร เพราะมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ร.1 รอ. ก็เปรียบเสมือนเป็นทำเนียบน้อย ที่ พล.อ.ประวิตรใช้เป็นสถานที่นั่งทำงาน ประชุม ตลอด 5 ปีของรัฐบาล คสช. มากกว่าที่ใช้ทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมเลยทีเดียว

แต่ที่กำลังถูกจับตามองคือ การจัดวางตัวขุนพลในกองทัพ หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์คัมแบ๊กกลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย และ พล.อ.ประวิตรมาเป็น รมว.กลาโหมอีกครั้ง ที่อาจเต็มไปด้วยความขัดแย้งรออยู่

ทั้งการจัดทัพ 5 เสือ ทบ. ในปีสุดท้ายของบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. และเตรียมรองรับ ผบ.ทบ.คนใหม่ เพราะคาดกันว่า บิ๊กบี้ พล.ท.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ แม่ทัพภาคที่ 1 จะขึ้นเป็นพลเอก ตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ. เพื่อเตรียมขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ต่อ เพราะมีอายุราชการถึงกันยายน 2566

โดยคาดว่า พล.ท.สุนัย ประภูชะเนย์ ผบ.นสศ. (ตท.21) ก็จะขึ้นเป็นพลเอก ตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ. เพราะเป็นนายทหารรบพิเศษ ที่เป็นทั้งน้องและเพื่อนของ พล.อ.อภิรัชต์

ที่กำลังถูกจับตามองคือ บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ว่า พล.อ.อภิรัชต์จะดันเพื่อนรุ่นน้อง ตท.21 ที่เชื่อใจและเชื่อมือที่สุดคนนี้ขึ้นเป็น เสธ.ทบ.คู่ใจ

หรือว่า จะส่งข้ามห้วยไปเป็นเสนาธิการทหาร ที่ บก.กองทัพไทย เพื่อรอจ่อคิวเป็น ผบ.ทหารสูงสุด

แม้จะมีรายงานว่า พล.อ.อภิรัชต์ได้คุยกับ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ชัยชาญ เพื่อเคลียร์ทางให้แล้วก็ตาม แต่ถึงเวลาจริงๆ ก็คงต้องคุยกับบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด ก่อนว่า ได้วางตัวใครไว้แล้วหรือไม่ เพราะ พล.อ.พรพิพัฒน์ก็ย่อมต้องอยากให้ “คนใน” กองทัพไทย ได้ขึ้น ผบ.ทหารสูงสุด เช่นในอดีต จนมาถึงยุคของตนเอง

เพราะหาก พล.อ.อภิรัชต์ดัน พล.อ.เฉลิมพล ไป บก.ทัพไทยไม่ไหว ให้โตใน บก.ทบ.ก่อน ก็จะทำให้ พล.อ.เฉลิมพลกลายเป็นแคนเดิเดต ผบ.ทบ.แข่งกับ พล.ท.ณรงค์พันธุ์ ทันที แถมยังอาวุโสกว่า ตั้ง ตท.21 และติดยศพลเอก ก่อนเมื่อเมษายนที่ผ่านมา ขณะที่ พล.ท.ณรงค์พันธ์เป็น ตท.22 แต่เกษียณกันยายน 2566 พร้อมกัน

แต่เป็นที่รู้กันดีว่า มีสัญญาณพิเศษที่จะให้ พล.ท.ณรงค์พันธ์ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.อภิรัชต์ไว้แล้ว

โดยมีทีมทหารคอแดง เตรียมขยับขึ้นมารับไม้ต่อ ทั้งบิ๊กหนุ่ย พล.ท.ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพน้อยที่ 1 ที่จะขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 กลายเป็นแม่ทัพคู่ใจ พล.ท.ณรงค์พันธ์ เพื่อน ตท.22 และถูกวางตัวเป็น เสธ.ทบ.คู่ใจ พล.ท.ณรงค์พันธ์ เมื่อขึ้นเป็น ผบ.ทบ.อีกด้วย

จึงทำให้ พล.อ.อภิรัชต์มีแผนที่จะส่ง พล.อ.เฉลิมพลข้ามไปโตที่ บก.ทัพไทย เพื่อจ่อคิวเป็น ผบ.ทหารสูงสุด โดยมีเหตุผลหนึ่งที่จะให้ พล.อ.เฉลิมพลไปปรับ บก.ทัพไทยใหม่ ให้เป็นไปตามยุคสมัย เพราะ พล.อ.เฉลิมพลนั้นเป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย

เมื่อนั้น รมว.กลาโหมคนใหม่ ก็จะเป็นคนตัดสิน แต่หากเป็น พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่มากบารมี ก็น่าจะเคลียร์ได้ไม่ยาก แต่จะทำให้ทุกฝ่ายแฮปปี้กันหมด ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีนายทหารที่ได้รับผลกระทบหลายคน

แต่ที่จะมีผลสะเทือนทั้งกองทัพ และรอรัฐบาลใหม่ รมว.กลาโหมใหม่ คือ แผนการขยายอายุเกษียณราชการ จาก 60 ปี ออกเป็น 63 ปี ที่ร่ำลือกันมาว่า จะมีผลบังคับใช้ในปีงบประมาณหน้า และอาจครอบคลุมถึงกองทัพด้วย ที่อาจทำให้ปีเกษียณเปลี่ยนไป

แม้ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์จะเคยระบุว่า จะยืดอายุราชการให้แค่บางตำแหน่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านก็ตาม แต่กระแสข่าวในกองทัพกลับทำให้ทหารแฮปปี้ ที่จะได้เกษียณช้าลงทั้งกองทัพ

หากเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมกระทบการจัดวางตัวนายทหารที่จะขึ้นเป็น ผบ.เหล่าทัพ ที่ต้องปรับกันใหม่

แต่ในเวลานี้ ท่ามกลางความวุ่นวายในการจัดตั้งรัฐบาล และการต่อรองเก้าอี้ ทำให้มีการจับตามอง พล.อ.อภิรัชต์ ที่ดูจะเก็บตัวเงียบตั้งแต่ 2 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา หลังแถลงข่าวอัด “พวกซ้ายจัด ดัดจริต คิดล้มล้างการปกครอง”

จนทำให้เกิดข่าวลือมากมายเกี่ยวกับ พล.อ.อภิรัชต์ ยิ่งในช่วงที่มีการเคลื่อนย้ายกำลังทหารไปฝึก และไปแข่งขันการทดสอบต่างๆ ว่า เป็นการกดดันนักการเมือง ให้ยอมตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ

บ้างก็ปล่อยข่าวลือว่า เป็นการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ หาก พล.อ.ประยุทธ์จัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ, การเตรียมกำลังไว้พร้อมแล้ว และหากเกิดเหตุอะไรขึ้น ให้ฟังคำสั่ง พล.อ.อภิรัชต์คนเดียว

อันเป็นการสะท้อนว่า พล.อ.อภิรัชต์ยังคงเป็นเป้าหมายทางการเมือง และถูกจับตามองในยามที่เก็บตัวเงียบ

   แต่ พล.อ.อภิรัชต์บอกไว้แล้วว่า เมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสม หลังงานพระราชพิธี คงจะได้เห็นแอ๊กชั่นบิ๊กแดงกันอีกครั้ง