ยานยนต์ สุดสัปดาห์ / สันติ จิรพรพนิต [email protected]

 

‘Mercedes-Benz S-Class’

2 รุ่น 2 แบบหรูเริ่ด-ไฮเทคเว่อร์

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมยกให้ดาวสามแฉก “เมอร์เซเดส-เบนซ์” เป็นค่ายรถยนต์ที่เปิดตัวรถใหม่ทั้งแบบ “โมเดลเชนจ์” และ “ไมเนอร์เชนจ์” มากที่สุดของเมืองไทยแล้วกระมัง
เพราะปกติค่ายรถส่วนใหญ่เปิดกันอยู่ไม่กี่รุ่นหรอกครับ
แต่กับ “เมอร์เซเดส-เบนซ์” เปิดกันชนิดยิงสลุต ปี หนึ่งๆมีมากกว่า 10 รุ่น
ก่อนหน้านี้ที่ดาวสามแฉกเปิดตัวรถเป็นชุดๆ ก็เข้าใจว่าปีถัดๆ ไปคงกระสุนหมดแน่ๆ
ที่ไหนได้ เป็นแบบนี้มาหลายปีต่อเนื่องกัน
เช่นเดียวกับปีนี้ ที่อวดรถใหม่มาแล้วหลากรุ่นเหลือเกิน
ล่าสุดจัดหนักในรุ่นท็อปกลุ่ม “ดรีมคาร์” หรือรถในฝัน นั่นคือ “เอส-คลาส”
มา 2 รุ่นย่อย ทั้ง “Mercedes-Benz S-Class 560 Coupe AMG Premium” และ “Mercedes-Benz S-Class S 560 Cabriolet AMG Premium”
โดยเอส-คลาส ถือเป็นดรีมคาร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรุ่นหนึ่งของดาวสามแฉก เพราะตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ.2515 หรือเมื่อกว่า 40 ปีมาแล้ว
มียอดขายสะสมมากกว่า 4,000,000 คันเข้าไปแล้ว
สำหรับ 2 รุ่นใหม่ ชื่อเต็มๆ ยาวเหลือเกิน ขอตัดเหลือแค่ S-Class Coupe และ S-Class S Cabriolet ก็แล้วกันนะครับ

ทั้ง 2 รุ่นเป็นรถสปอร์ต 2 ประตู
S-Class Coupe เป็นแบบ 2 ประตูธรรมดาทั่วไป ส่วน S-Class Cabriolet เป็นแบบเปิดประทุน หรือเปิดหลังคาได้
2 รุ่นนี้เป็นคู่แฝดที่การตกแต่งภายนอก-ภายใน และเครื่องยนต์แทบเหมือนกันทั้งหมด มีแตกต่างกันบ้างในบางจุดเท่านั้น
ด้านหน้าตามสไตล์ AMG กระจังหน้า Diamond grille สีเงิน พร้อมลายโครเมียม 1 แถบ และตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฝากระโปรงหน้าที่ยาว เพิ่มความดุดันด้วยชุดแต่งสปอร์ต
ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System ที่ประดับด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้ 47 ชิ้น ซึ่งประกอบด้วยไฟ daytime running lamps ที่ส่องสว่างด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้ 17 ชิ้น ให้แสงที่สวยใสชัดเจน และไฟเลี้ยวที่ตกแต่งด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้ 30 ชิ้น
คู่นี้เป็นเพียง 2 รุ่นเท่านั้นในตระกูล S-Class ที่ติดตั้งไฟท้ายแบบ OLED (Organic Light Emitting Diode) หลอดไดโอดเปล่งแสงขนาดบางที่เคลือบใต้กระจกของไฟหลัง จำนวนรวมทั้งสิ้น 33 ชิ้นต่อ 1 ข้าง
ติดตั้งคิ้วโครเมียมตกแต่งบริเวณชายกันชนด้านหน้า, ปลายท่อไอเสียคู่, ดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน, สัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ บนคาลิปเปอร์เบรก และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 10-spoke ขนาด 20 นิ้ว ตกแต่งด้วยสี Titanium Grey
S-Class Coupe มาพร้อมกับหลังคาพาโนรามิกซันรูฟแบบ MAGIC SKY CONTROL ขนาดใหญ่ มีความยาวถึง 2 ใน 3 ของความยาวหลังคา สามารถปรับความเข้มของกระจกเพื่อกรองแสงได้
ส่วน S-Class Cabriolet ใช้หลังคาแบบ fabric soft-top มีความหนา 3 ชั้น ชั้นนอกสุดเคลือบสารบูทีล (butyl) ทำให้มีเสียงรบกวนเข้ามาในห้องโดยสารน้อย
หลังคาสามารถเปิด-ปิดได้ในเวลาเพียง 19 วินาที ขณะที่รถวิ่งที่ความเร็วสูงสุด 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ตอนเปิดประทุนมีแผงบังคับทิศทางลม (AIRCAP) ด้วย ช่วยไม่ให้ลมปะทะกับผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารโดยตรง

ดีไซน์ภายในสะดวกสบายและหรูหราระดับน้องๆ “Mercedes-Maybach S 560” ที่เป็นตัวแพงสุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์
มีระบบ “ENERGIZING Comfort Control” คอยควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น การปรับโทนสีของไฟภายในห้องโดยสาร ระบบปรับอากาศ ระบบเครื่องเสียง รวมถึงโปรแกรมนวดของเบาะที่นั่งด้านหน้า 4 แบบ
เบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa แบบ Exclusive package ตัดเย็บลายเบาะแบบ diamond design
หน้าจอกว้างแบบ Widescreen Cockpit และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ต
เทคโนโลยีและระบบมัลติมีเดียมาอย่างครบครัน ทั้งระบบ Night View Assist Plus ระบบที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นคนเดินถนนหรือสัตว์ขนาดใหญ่ในที่มืดโดยการใช้แสงอินฟราเรด และกล้องอินฟราเรดระยะใกล้และไกลในการมองเห็นเพื่อลดอุบัติเหตุในที่มืด
ระบบ Crosswind Assist ระบบที่จะช่วยประคองรถยนต์ไม่ให้หลุดออกนอกเส้นทางเมื่อมีลมแรง
ระบบ MAGIC VISION CONTROL ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติและระบบฉีดน้ำกระจกหน้าจากก้านปัดน้ำฝน ที่น้ำจะฉีดไปที่บริเวณด้านหน้าของใบปัดขณะปัด รวมถึงระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display)
ระบบป้อนเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ซึ่งรถสไตล์ 2 ประตูที่บานประตูจะใหญ่กว่าปกติ และเสาบีจะขยับไปอยู่ด้านหลังมากกว่ารถ 4 ประตู เพิ่มความสะดวกมากขึ้น ไม่ต้องเอี้ยวตัวจนเอวเคล็ด
มีฟังก์ชั่นปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร (AIR BALANCE package), ระบบ COMAND Online, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ Apple CarPlay & Android Auto
ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging), ระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย touchpad และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester high end 3D surround sound system

ขุมพลังเครื่องยนต์แบบ V8 เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 3,982 ซีซี ระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ให้กำลังสูงสุด 469 แรงม้า 700 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพียง 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ปรับรูปแบบขับขี่ DYNAMIC SELECT ได้ 5 แบบตามสไตล์การขับขี่ ประกอบด้วย ECO, Comfort, Sport, Sport+ และ Individual
แน่นอนว่ารถระดับนี้เทคโนโลยีความปลอดภัยให้มาขึ้นสุด ทั้งการป้องกันก่อนเกิดเหตุ และแก้ไขหากเกิดความผิดพลาด
ที่เป็นไฮไลต์ เช่น PRE-SAFE PLUS ใช้เรดาร์ช่วยสแกนเพื่อนร่วมถนน หากตรวจพบรถยนต์จากด้านหลังวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ ไฟกะพริบฉุกเฉินจะกะพริบด้วยความถี่ที่มากกว่าปกติเพื่อเตือนผู้ขับขี่รถคันหลัง
จากนั้นระบบจะรัดเข็มขัดนิรภัยให้กระชับขึ้น ระบบเบรกจะล็อกล้อทั้งสี่ไว้ให้อยู่กับที่ พร้อมปรับพนักพิงคอเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บบริเวณคอ หากมีการชนเกิดขึ้น
PRE-SAFE Impulse Side ระบบจะตรวจจับรถยนต์ที่กำลังวิ่งเข้าด้านข้างตัวรถ เมื่อพบว่ามีเหตุการณ์ที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ถุงลมที่อยู่ในพนักพิงด้านข้างจะพองออกเพื่อผลักให้ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารด้านหน้าเอียงไปอยู่ส่วนตรงกลางห้องโดยสารแทน เพื่อปกป้องแรงกระแทกจากด้านข้างตัวรถ

ระบบ Active Emergency Stop Assist ในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่มีการตอบสนองต่อการขับขี่เป็นเวลานาน เช่น คนขับหลับในหรือหมดสติ และระบบตรวจจับได้ว่าไม่มีการเคลื่อนไหวของพวงมาลัยเลย ระบบจะส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้ผู้ขับขี่กลับมาประคองพวงมาลัยรถ แต่ถ้ายังไม่มีการตอบสนองจากผู้ขับขี่ ระบบจะค่อยๆ หยุดรถอัตโนมัติในช่องจราจรนั้น พร้อมกับเปิดระบบไฟกะพริบฉุกเฉิน
Active Lane Keeping Assist หากเรดาร์ตรวจพบความเสี่ยงในการชนกับรถยนต์ที่ตรวจจับได้ ระบบจะช่วยดึงรถเข้าสู่ช่องจราจรเดิมโดยอัตโนมัติ
Active Braking Assist และฟังก์ชั่น Cross-Traffic ตรวจจับเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการชน และจะส่งเสียงเตือนให้เบรกและช่วยเพิ่มกำลังเบรก แต่หากผู้ขับขี่ไม่ตอบสนอง ระบบจะช่วยเบรกอัตโนมัติตามแต่ละสถานการณ์ ฯลฯ
ส่วนระบบความปลอดภัยอื่นๆ และระบบช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากขึ้นมีครบถ้วน เรียกว่านึกไม่ออกเหมือนกันว่าขาดอะไรไปบ้าง
สนนราคา Mercedes-Benz S 560 Coupe AMG Premium 15,990,000 บาท
และ Mercedes-Benz S 560 Cabriolet AMG Premium 16,720,000 บาท