สู่ร่มกาสาวพัสตร์ ก้าวแรกสู่ถนนสายธรรม

วางบิล/ เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

 

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

ก้าวแรกสู่ถนนสายธรรม

 

สองวันต่อมา พบกับเณรพจน์ บอกให้ฟังว่า หลังจากที่หลวงพี่ไปพบท่านเจ้าคุณใหญ่แล้ว เณรกลุ่มนั้นดูจะเรียบร้อยขึ้น ไม่มีอาการ “กร่าง” ให้ปรากฏ พระปานจะถามต่อ แต่ไม่อยากให้เรื่องที่จบไปแล้วมากวนใจ จึงชวนคุยเรื่องอื่น
ค่ำวันนั้น พบกับมหาสวัสดิ์ ท่านถามว่า ไง เรื่องนั้นไปถึงไหน จึงเล่าให้ฟัง พระมหาสวัสดิ์บอก ดีแล้ว ที่ไม่จัดการด้วยตัวเอง “ที่ให้เณรกราบขอขมาพระพุทธรูป ทำให้ตัดชนวนความโกรธของทั้งสองฝ่าย ท่านเองก็รู้สึกสบายใจด้วยใช่ไหม ที่จัดการเรื่องความประพฤติของเณรได้ ผู้ใหญ่ท่านก็รับรู้ ทั้งยังทำให้พระผู้ปกครองเณรต้องปรามเณรที่ตัวเองดูแลไม่ให้ไปก้าวร้าวแสดงกิริยาที่ไม่ดีกับพระเณรรูปอื่น จะได้รู้จักเคารพพระใหม่อย่างท่านด้วย”
ฟังจากพระมหาสวัสดิ์แล้วคิดถึงการตัดสินใจของตัวเอง ที่เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ไม่ไปทำอะไร เช่น ทะเลาะกับเณร หรือสร้างความเกลียดชังให้กับเณร เพราะเป็นเรื่องที่ท่านเจ้าอาวาสเรียกไปสอบสวนด้วยตัวท่านเอง จากเหตุที่เกิดขึ้น
ระหว่างฉันน้ำชา พระมหาสวัสดิ์สูบบุหรี่ ควันลอยมาเข้าจมูกพระปาน กลิ่นจากควันบุหรี่แทนที่ไม่สบอารมณ์ กลับทำให้รู้สึกถึงกลิ่นหอมของบุหรี่ที่พระปานเพิ่งหยุดสูบไปขณะที่โยมแม่จรดกรรไกรขลิบผมปอยแรกเมื่อวันบวช
ทั้งปฏิญาณไว้ว่า ระหว่างเป็นพระจะไม่สูบบุหรี่จนกว่าจะสึก

พระมหาสวัสดิ์ชวนคุยว่า ขณะที่ยังไม่รู้ว่าจะสึกเมื่อไหร่ อยากให้ท่านอ่านพระไตรปิฎกที่อยู่ในตู้นั่น “มาหยิบไปอ่านได้ จะได้ศึกษาพระไตรปิฎก โดยเฉพาะวินัยปิฎกให้รู้ถึงข้อบัญญติที่เป็นความผิดของสงฆ์ จะได้ไม่ละเมิดพระวินัยที่ท่านไม่ได้เรียนมาก่อน หรือรู้เพียงงูๆ ปลาๆ”
พระปานมองไปที่พระไตรปิฎกที่ตั้งเล่มเรียงในตู้ใบนั้น แล้วนึกในใจว่า ตั้งหลายเล่ม จะอ่านหมดไหม
พระมหาสวัสดิ์เหมือนจะรู้ว่าพระปานคิดอะไร จึงบอกว่า “ค่อยๆ อ่านไปทีละบททีละเรื่อง ไม่ต้องอ่านทั้งเล่ม หรือหมดทุกเล่มก็ได้ ที่อยากให้อ่านคือพระวินัยปิฎกว่าด้วยการผิดศีลข้อร้ายแรงทำให้ขาดจากความเป็นพระที่เรียกว่าปาราชิกนั่นแหละ”
พระมหาสวัสดิ์บอกต่อไปว่า “ศีลของพระมีถึง 227 ข้อ แต่มีข้อร้ายแรงเพียงไม่กี่ข้อ เฉพาะข้อที่ต้องขาดจากความเป็นพระมีเพียง 4 ข้อ คล้ายกับของคนที่มีศีล 5 เป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจ หรือเป็นข้อห้ามในพุทธศาสนา”
พระมหาสวัสดิ์สูบบุหรี่ที่เหลืออึกสุดท้ายเข้าปอด แล้วพ่นควันออกจากปาก ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ย ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม แล้วขยับจีวร ขยับร่างกายให้นั่งสบายขึ้น ก่อนจะอธิบายว่า
“ศีล 5 ของคนทั่วไป มีตั้งแต่ข้อแรก ปาณาติปาตา ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อะทินนาทานา ห้ามลักขโมย กาเมสุมิฉา จารา ห้ามผิดลูกผิดเมียเขา มุสาวาทา ห้ามพูดปด พูดเพ้อเจ้อ สุราเมระยะ ห้ามดื่มสุรายาเมา…”

ขยับตัวอีกครั้งแล้วอธิบายเพิ่มเติมว่า ศีลห้าของคนทั่วไปไม่ได้ห้ามเด็ดขาด เพียงแต่ว่าเป็นการกระทำที่ผิดศีล ไม่มีโทษหากทำผิด เช่น ทำร้ายสัตว์ ฆ่าสัตว์ ฆ่าคนด้วยกัน หรือลักขโมย ทางโลกมีกฎหมายไว้ลงโทษ แต่ผิดลูกผิดเมีย ไม่ได้หมายความว่ามีเมียไม่ได้ หรือพูดจาโกหกไม่ได้ ยิ่งข้อห้าห้ามดื่มสุรายาเมา ยิ่งแล้วใหญ่ แม้จะบอกห้ามไว้ แต่ยังดื่มยังขายกันโครมๆ”
พระมหาสวัสดิ์อธิบายว่า สุราเป็นเหตุให้เกิดความประมาท ทำให้ไปละเมิดศีล หรือทำผิดกฎหมายได้ เช่นเดียวกับข้ออื่น แต่ของพระการดื่มสุราท่านว่าเป็นเภสัช คือเป็นยา ให้กินได้เพียงแค่หนึ่งองคุลี คือขนาดข้อนิ้วมือจุ่มลงในฝาบาตร เพราะเหล้าหรือสุราอาจเกิดขึ้นระหว่างดองผลไม้ที่กินได้ยามวิกาล คือสมอ หรือเกิดจากน้ำตาลที่อนุญาตให้ฉันได้ที่ท่านเจ้าคุณใหญ่แจงไว้ในอนุศาสน์ที่พระปานไปพบท่านคืนวันแรกที่บวช
“ส่วนปาราชิกที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ว่าหากประพฤติหรือปฏิบัติขึ้นในปาราชิก 4 ท่านให้ขาดจากความเป็นพระ โดยเฉพาะข้อแรก คือเสพเมถุน”
พระมหาสวัสดิ์บอกแล้วอธิบายเพิ่มเติมว่า ครั้งพุทธกาลยังไม่มีการกำหนดพระวินัยหรือข้อห้าม เนื่องจากภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น กระทั่งเมื่อเข้าพรรษาที่ 20 ของพระพุทธองค์ จึงมีบัญญัติข้อแรก ส่วนข้อต่อๆ มาท่านบัญญัติไว้เมื่อมีความการละเมิดเกิดขึ้น ทั้งจากการกระทำของพระสงฆ์ เกิดจากความไม่รู้ เกิดจากพระสงฆ์ด้วยกันเมื่ออยู่ในหมู่มาก เช่น การทะเลาะเบาะแว้ง หรือไปสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน
พระปานรับฟังด้วยดุษณี พยักหน้ารับทราบเป็นระยะ ครุ่นคิดตามในบางเรื่อง เริ่มคิดและตั้งใจว่าจะหยิบยืมพระไตรปิฎกเล่มแรกคือพระวินัยปิฎกเล่มหนาไม่น้อยไปอ่านก่อน

ระหว่างอธิบาย พระมหาสวัสดิ์มองไปที่ตู้พระธรรมที่บรรจุพระไตรปิฎกเล่มหนาบ้างบางบ้าง รวมถึงหนังสืออันเป็นธรรมะปกแข็งเต็มตู้ พระปานมองตาม ท่านชี้ไปทางมุมซ้ายบนชั้นแรกของตู้
“เล่มนั้นแหละคือเล่มแรก พระวินัยปิฎก” ว่าแล้วท่านจึงลุกขึ้นไปที่ตู้ เปิดประตูตู้ออกแล้วหยิบพระวินัยปิฎกเล่มที่ท่านชี้ติดมือออกมา
ส่งให้พระปานพร้อมบอกว่า “เอาเล่มนี้ไปลองอ่านก่อน อ่านทั้งหมดนี้คงไม่ไหว เขาเอาไว้สำหรับพระที่ต้องการสอบประโยคเปรียญให้ได้เปรียญ 9 ประโยค แต่พระรูปไหนไม่ได้เรียนบาลี หรือเรียนประโยคต้นๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านหมด”
พระปานยกมือไหว้ขอบคุณแล้วรับหนังสือเล่มนั้นซึ่งหนักเอาการมา เปิดปกดูในหน้าแรกๆ แล้วปิดปกอย่างเดิม วางไว้ข้างตัว ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ คิดในใจว่า จะเริ่มอ่านตั้งแต่พรุ่งนี้ ทั้งเป็นวันพระใหญ่ ช่วงเย็นมีสวดปาติโมกข์ ต้องลงโบสถ์เร็วกว่าเดิม
“พรุ่งนี้เป็นวันพระปาติโมกข์” พระปานปรารภขึ้น “ผมจะเริ่มอ่านพรุ่งนี้… บทสวดพระปาติโมกข์คือศีล 227 ข้อใช่ไหมครับ” พระปานถามความรู้
พระมหาสวัสดิ์บอกว่า ใช่ ท่านที่ท่องปาติโมกข์เก่งๆ อย่างเมื่อก่อนอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านท่องได้ภายในพรรษา นับว่ามีความจำดีเลิศ เห็นว่าหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ นั่นอีกคน ท่องได้ในพรรษาแรกเหมือนกัน
“ของเรามีท่านเจ้าคุณพิจิตรรูปหนึ่งที่ท่องได้สอบเป็นเปรียญ 9 ประโยคด้วย” พระมหาสวัสดิ์บอก
จากนั้นพระปานกราบลาขอตัว หยิบหนังสือพระวินัยปิฎกขึ้นมาถือ แล้วเดินลงบันไดกลับกุฏิ